1. ดูแลเส้นผมก็อย่าทำอะไรกับผมมากเกินไปนะ (คร้าบ)
สังเกตมั้ยจ้ะว่าเวลาที่เราเข้าร้านทำผม ช่างทำผมมักจะคอยโน้มน้าวให้เราทำโปรแกรมอะไรมากมายกว่าความต้องการของเรา เช่น เราแค่ต้องการที่จะไปรับการสระ ตัด และไดร์ แต่ว่าช่างทำผมผู้แสนดีก็มักจะเสนอให้เราอบไอน้ำ ทำสี ดัด ยืด หรือทำทรีตเมนต์อะไรอีกมากมายสารพัด เราในฐานะที่เป็นลูกค้าก็แอบรำคาญเล็กน้อย ช่างทำผมบางราย อันนี้ป้าเจอมาหมาดๆ นำเสนอให้อบไอน้ำ นำเสนอไม่พอใส่วิญญาณลูกอีช่างติเข้ามาด้วย ติว่าผมป้าแห้งมาก ช่างคนนี้ไดร์ผมป้าไปก็บ่นไปว่าผมป้ามันแห้งมาก ไดร์ไปติไปตลอดเลยค่ะ ป้านี่แทบปรี้ด
เอาเป็นว่าเราไม่ควรที่จะไปทำอะไรกับผมมากเกินไป หลายๆ คนอาจเคยเข้าสปาผมมาบ้างแล้ว จะสปาเพื่ออะไรก็ตามจะเพื่อผ่อนคลายหนังศีรษะหรือเพื่อเส้นผมเงางามก็เถอะ มันก็เป็นสิ่งที่ดีนะจ้ะที่จะทำแต่ว่าก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป เพราะเส้นผมของเราเนี่ยมันก็คือส่วนที่ตายแล้วของคนเรานี่แหละ มันไม่มีความสามารถที่จะซ่อมแซมสภาพที่เสียโดยตัวของมันเอง ฉะนั้นยิ่งถ้าเราไปทำสี ดัด หรือยืดมากๆเข้าแล้ว มันก็เป็นการไปทำร้ายเส้นผมขั้นรุนแรงโดยที่ไม่สามารถจะซ่อมแซมให้มันกลับสู่สภาพดีดังเดิมได้อีก นอกจากจะโกนผมทิ้งแล้วก็รอวันเวลาที่มันจะงอกเงยขึ้นมาใหม่นั่นแหละจ้ะ
2. ดูแลเส้นผมก็อย่ามองข้ามเรื่องของน้องหวี (เลือกดีๆ ล่ะตัวเอง)
อันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการเลือกใช้หวี เลือกหวีไม่ดีมีสิทธิตายได้ อะไรทำนองนั้นเลยจ้ะ ให้ระวังการเลือกใช้หวีที่จะทำร้ายเส้นผมและหนังศีรษะ ซึ่งส่วนใหญ่หลายๆคนก็มองข้ามเรื่องนี้ไป อยากให้เราๆ ให้ความสำคัญกับน้องหวีตั้งแต่วันนี้ เพราะเราต้องใช้มันเป็นชีวิตจิตใจกันเลยทีเดียว ก่อนอื่นให้เลือกใช้หวีซี่ห่าง เพราะว่าถ้าใช้เจ้าหวีซี่ถี่ๆเล็กๆ มันจะเป็นการทำร้ายเส้นผม โดยทำให้เกล็ดผมฉีกและหนังศีรษะถลอกได้ นอกจากนี้ใครที่กระเป๋าหนักหน่อยให้เลือกใช้หวีที่เคลือบสาร Teflon ก็จะดีกว่ากันมาก (หลายๆ คนอาจนึกคิดแค่ว่าเข้า Teflon มีแต่เคลือบอยู่บนผิวกระทะเท่านั้น เคลือบบนหวีก็มีนะจ้ะ) หวีที่เคลือบสารดังกล่าวจะช่วยลดการเสียดสีของเส้นผม ลดปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ โดยเฉพาะในยามที่อากาศแห้งหรือผู้ที่มีผมแห้งมากๆ
มีความเชื่อปรำปราเรื่องหนึ่งที่กล่าวกันว่าถ้าท่านหวีผมให้ได้วันละ 100 ครั้งต่อวัน สุขภาพของเส้นผมคุณจะดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ หรืออะไรทำนองนี้ ป้าอยากจะมาออกโรงเตือนว่าใครที่เชื่อเช่นนี้ ขอให้รู้เถิดว่านั่นเป็นความเชื่อผิดๆ ของคนโบราณ เพราะว่าแทนที่จะเกิดผลดีกลับทำให้ผมยิ่งเสียมากขึ้น ผมของคุณจะหลุดร่วงมากขึ้น เกล็ดผมถูกทำลาย หนังศีรษะเป็นแผล ถลอกปอกเปิก เอาเป็นว่าหวีวันละ 5-10 ครั้งในหนึ่งวันดีที่สุด
3. ดูแลเส้นผมควรเลือกแปรงให้ดีๆ
แปรงหวีผมที่ดีควรจะมีช่องว่างระหว่างซี่ที่พอเหมาะ ไม่ห่างเกินไปไม่ถี่เกินไป และควรที่จะมีเม็ดพลาสติกกลมๆบนปลายซี่หวีแต่ละซี่ด้วย เพราะเม็ดเล็กๆเหล่านั้นจะช่วยถนอมหนังศีรษะ ไม่ให้ถูกเสียดสีแรงเกินไปเวลาหวี ปัจจุบันนี้มีแปรงหวีผมที่ซี่หวีทำจากไม้และค่อนข้างคม ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติ ใช้ได้โดยปลอดภัย แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด จริงๆแล้ววิธีที่ดีที่สุดในการเลือกซื้อแปรงหวีผมก็คือให้ทดลองหวีบนเส้นผมของเราเลย อันไหนที่ลองแล้วรู้สึกเจ็บหนังศีรษะหรือรู้สึกไม่สบายเอาซะเลย ก็แสดงว่ามันไม่ใช่แปรงหวีที่ใช่สำหรับคุณ แต่ตามร้านหลายๆร้านก็มักจะไม่ให้ทดลองหวี แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ
4. ดูแลเส้นผม ห้ามหวีผมขณะที่มันเปียก
หลังสระผมแล้วแน่นอนว่ามันจะต้องเปียกและยุ่งเหยิงไปหมด บางคนอาจทนไม่ไหวอยากจะหวีให้มันเรียบๆ จะได้ไม่ยุ่งเหยิง นี่เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอีกอย่างหนึ่ง เพราะเวลาที่เส้นผมเปียกคือช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอมากที่สุด และไม่ควรทำอะไรกับมันมากในช่วงเวลานี้ ถ้าอยากจะสะสางความยุ่งเหยิงจริงๆ ใช้แค่เพียงนิ้วมือสางๆ จากโคนผมมาปลายผมก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นเมื่อผมใกล้จะแห้งแล้วให้หวีด้วยแปรงหวีผมคู่ใจของคุณได้
5. ดูแลเส้นผม ห้ามทำให้ผมแห้งด้วยการไดร์ผมด้วยลมที่ร้อนจัด
ด้วยความเคยชินบางคนอาจจะไดร์ผมทันทีหลังจากสระผมเสร็จแล้ว แล้วไม่ใช่ไดร์ด้วยลมธรรมดานะแต่จะไดร์ด้วยลมร้อนจัดจ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเส้นผมเอามากๆเลย เพราะอุณภูมิที่สูงจัดสามารถทำลายเส้นผมและทำให้น้ำหล่อเลี้ยงของเส้นผมต้องสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสูญเสียความชุ่มชื้นของผมไปแล้ว ผลที่เกิดขึ้นก็คือผมของคุณจะเสียและเปราะหักได้ง่าย วิธีที่ดีที่สุดในการถนอมผมก็คือไดร์ผมด้วยลมอุ่นๆ หรือไม่ก็ลมธรรมดาก็จะดีที่สุด แต่ส่วนมากไม่ค่อยชอบกันชอบแต่จะเป่าด้วยลมร้อน จริงๆ ป้าเองก็ชอบเป่าลมร้อนจัดนะเนี่ย สงสัยต้องเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ซะแล้ว ผมป้าถึงได้กรอบแบบนี้ไงเนี่ย
6. ดูแลเส้นผม กรุณาอย่าเกา
อย่าเกาหนังศีรษะแบบเอามันอย่างเดียว ผู้ที่มีปัญหารังแคหรือคันหนังศีรษะมักจะชอบเกา เกาแล้วเกาอีกจนกว่าจะหายคัน แต่ว่าผู้ที่มีปัญหารังแคหรือปัญหาหนังศีรษะถ้ายิ่งไปเกาแบบเต็มเหนี่ยวแล้วล่ะก็ ปัญหาที่ตามมาก็คือผมจะร่วง ปริมาณผมบนศีรษะก็จะลดลง ปัญหาผมร่วงผมบางซึ่งน่าหนักใจยิ่งกว่าปัญหารังแคมันก็จะตามมา ถ้าเกิดว่าปัญหารังแคมันคอยรบกวนคุณมากจนทำให้รู้สึกว่าอยากจะเกาใจจะขาด นั่นแสดงว่าคุณกำลังมีปัญหารังแคขั้นรุนแรง ควรจะเข้าพบแพทย์เพื่อเยียวยารักษาอาการมากกว่าที่จะต้องทนนั่งเกาอยู่อย่างนั้น บางรายที่มีปัญหารังแคมากก็จะมีการนำสารสเตียรอยด์ (Steroid) มาผสมลงในแชมพูเพื่อลดอาการคันหนังศีรษะ อาจใช้ควบคู่กับการรับประทานยาแก้แพ้ประเภท Antihistamine ด้วย เพื่อลดอาการคันสำหรับผู้ที่มีปัญหาขั้นร้ายแรง แบบว่าหนังหัวเปิดเปิงไปหมดแล้ว เป็นต้น
7. ดูแลเส้นผมควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของคอนดิชันเนอร์ (Conditioning shampoo)
คนที่ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมและหนังศีรษะ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเส้นผมถูกทำร้าย การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของครีมนวดผมจะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้บ้าง แต่แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้แชมพูธรรมดาสระก่อนแล้วค่อยตามด้วยการลงครีมนวดผมหลังจากสระผมเสร็จแล้ว
8. ดูแลเส้นผมควรใช้ครีมนวดผมสำหรับชโลมทันทีหลังสระ
การใช้ครีมนวดสูตรที่ต้องใช้ชโลมทันทีหลังจากสระผมเสร็จแล้ว ครีมนวดบางตัวก็มีส่วนผสมของซิลิโคน ซึ่งมีข้อดีตรงที่มันจะช่วยปกป้องเส้นผมจากการถูกทำร้ายและยังช่วยซ่อมแซมสภาพผมให้ดีขึ้นมาได้บ้าง
9. ดูแลเส้นผมควรใช้ทรีตเม้นต์บำรุงผมสูตรเข้มข้นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
บำรุงผมด้วยทรีตเม้นต์ชนิดเข้มข้นเหมาะสำหรับเส้นผมที่ต้องการการบำรุงอย่างล้ำลึก โดยเฉพาะผมที่ผ่านการดัด ทำสี หรือยืด โดยปกติจะหมักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที โดยมากมีสองประเภทให้เลือกใช้คือสูตรน้ำมันและสูตรโปรตีน ซึ่งโปรตีนทรีตเม้นต์เป็นที่แนะนำให้ใช้มากกว่าแบบน้ำมัน เพราะมันเข้มข้นกว่า ซึมเข้าสู่เส้นผมได้ดีกว่า ในขณะที่สูตรน้ำมันเหมาะสำหรับผมที่ผ่านการยืดหรือทำรีบอนด์มาแล้ว
10. ดูแลเส้นผมควรตัดเส้มผมส่วนที่เสียทิ้ง
ผู้คนส่วนมากไม่ชอบที่จะตัดผมส่วนที่เสียออกไป เพราะว่าเสียดายเส้มผมอันเป็นที่รักที่สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟักมานมนาน ผู้เชี่ยวชาญกล่าววว่าให้ตัดใจเล็มผมส่วนที่เสียจะดีกว่า เพราะผมที่เสียแล้วย่อมไม่มีประโยชน์อะไร แถมยังจะทำให้จัดแต่งทรงผมได้ยากอีกด้วย
thanks by http://beauty.yopi.co.th/%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A1.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น