วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งต่อมลูกหมาก






ต่อมลูกหมากเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย อยู่ติดกับกระเพาะปัสสาวะ
และล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น ต่อมลูกหมากมีลักษณะคล้ายลูกเกาลัดขนาดใหญ่ มีหน้าที่สำคัญในการผลิตน้ำหล่อลื่นและหล่อเลี้ยงตัวอสุจิ แต่ต่อมนี้ไม่ได้เป็นตัวสร้างอสุจิเอง






สาเหตุ :

มะเร็งต่อมลูกหมากเกิดในผู้ชายสูงอายุ ในประเทศไทยอายุที่พบบ่อยคือมากกว่า 60 ปี มี
รายงานอุบัติการณ์ในผู้ชายอายุ 40 ถึง 60 ปีไม่มากนัก สาเหตุของมะเร็งต่อมลูกหมากที่แท้จริงยัง
ไม่มีใครทราบ หลายคนเชื่อว่าฮอร์โมนเพศชายจะเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เซลล์มะเร็งของต่อม
ลูกหมากมีการเจริญเติบโตมากขึ้น เนื่องจากโรคนี้พบมากที่สุดในชาวตะวันตก เชื่อกันว่าอาหารอาจ
มีส่วนให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ด้วยโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง นอกจากนั้นสาเหตุของมะเร็ง
ต่อมลูกหมากยังเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์อีกด้วย ในประเทศไทยมะเร็งต่อมลูกหมากพบมากเป็นอันดับ
ที่ 5 ของมะเร็งในเพศชาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาพบแพทย์ในระยะลุกลามซึ่งทำให้การรักษาไม่
สามารถทำให้หายขาดได้

อาการแสดง :

อาการของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งของต่อมลูกหมาก แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

1. กลุ่มที่ไม่มีอาการใด ๆ ผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆที่เกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมากเลย ตรวจพบ
จากการตรวจร่างกายประจำปี ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักวินิจฉัยโรคได้ในระยะเริ่มต้น เมื่อได้รับการรักษาแล้ว
จะสามารถหายขาดจากโรคได้

2. กลุ่มที่มีอาการเกี่ยวข้องกับโรคต่อมลูกหมากโต ผู้ป่วยมักมีอาการปัสสาวะที่ผิดปกติ
ทำให้มาพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เมื่อผ่านการตรวจอย่างละเอียดอาจพบว่าเกิดจากมะเร็งต่อม
ลูกหมากผู้ป่วย บางรายอาจได้รับการผ่าตัดต่อมลูกหมากทางท่อปัสสาวะ เพื่อแก้ไขภาวะต่อม
ลูกหมากโต และพบมะเร็งจากการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา



3. กลุ่มที่มีอาการของมะเร็งโดยทั่วไป ได้แก่อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อยตาม
ร่างกาย และกระดูก อาการเหล่านี้เป็นผลจากการลุกลามของมะเร็ง ผู้ป่วยในระยะนี้ไม่สามารถรักษาให้
หายขาดได้ แต่การรักษาจะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นและอาจป้องกันการลุกลามของมะเร็งได้


การวินิจฉัยโรค :

เนื่องจากมะเร็งในระยะเริ่มต้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ การตรวจเพื่อให้ได้ผลในระยะ
เริ่มต้นจึงมีความสำคัญ โดยทั่วไปแล้วผู้ชายที่มี อายุ 50 ปีขึ้นไป ถึงแม้จะไม่มีอาการผิดปกติของ
ทางเดินปัสสาวะใดๆควรจะไปรับการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากจากแพทย์ และหากมีประวัติญาติ
ใกล้ชิดเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรจะมารับการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากทุกปี ตั้งแต่อายุ 40 ขึ้นไป

การตรวจค้นหามะเร็งต่อมลูกหมากประกอบด้วย การตรวจ
ทางทวารหนัก และ การเจาะเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง คือ พี
เอส เอ ( PSA) เมื่อได้ค่าพื้นฐานเหล่านี้แล้ว แพทย์จะแปลผลและ
สามารถระบุได้ว่าผู้ป่วยรายใดมีความเสี่ยงของมะเร็ง ซึ่งจะต้องตรวจ
ด้วยการตัดชิ้นเนื้อในขั้นตอนต่อไป
การรักษา :

การเลือกวิธีการรักษาขึ้นกับผลการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ระยะของโรค อายุของผู้ป่วย
รวมทั้งการประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย


การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรก

ผู้ป่วยระยะนี้ ยังไม่มีการกระจายของมะเร็งไปนอกต่อมลูกหมาก อาจทำการรักษาได้ 2 วิธี คือ

1. การผ่าตัดต่อมลูกหมากออกทั้งหมด ( Radical Prostatectomy )

เป็นการผ่าตัดใหญ่เพื่อเอาต่อมลูกหมากที่เป็นมะเร็งรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมดเป็น
วิธีการที่สามารถทำให้หายจากโรคได้ ผู้ป่วยที่ผ่าตัดได้สำเร็จจะมีพยากรณ์โรคดีมาก มะเร็งในระยะที่ 1
จะมีอัตราการรอดชีวิตใน 10 ปีสูงถึงร้อยละ 80 ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง โดย
ทั่วไปไม่นิยมผ่าตัดในผู้ป่วยอายุมากกว่า 70 ปี ผลข้างเคียงที่อาจพบหลังผ่าตัด ได้แก่ การสูญเสีย
สมรรถภาพทางเพศ ท่อปัสสาวะตีบ และปัสสาวะเล็ด เป็นต้น

2. การฝังรังสี ( Brachytherapy)


เป็นการรักษาแบบใหม่ โดยการฝังแท่งรังสีขนาดเล็กมากเข้าไปที่ต่อมลูกหมากผ่านผิวหนัง
บริเวณฝีเย็บ เป็นการรักษารูปแบบใหม่มีใช้จำกัดในโรงพยาบาลบางแห่ง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษา
สูงมาก มีข้อดีคือ อาจลดอุบัติการณ์ของการสูญเสียสมรรถภาพทางเพศหลังการรักษาได้

3. การผ่าตัดโดยใช้กล้อง ( Laparoscopic radical Prostatectomy)


เหมือนการผ่าตัดแบบ radical prostatectomy แต่ใช้กล้องแทน ได้ผลดีไม่แตกต่างกัน

สาเหตุ ที่จะเป็นมะเร็ง

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ
1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง ส่วนใหญ่ เกิดจากสาเหตุได้แก่

1.1 สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อราที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า
1.2 รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดด
1.3 เชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา
1.4 การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ
1.5 จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น

2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความพิการ มาแต่ กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะ ทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่า มะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น มะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถ ป้องกัน ได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมี ความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิดมะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณ ที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ ทราบว่า ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป กรณีที่เป็น มะเร็ง ได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นี้แหละ.... ชีวิต

เช้า ทำงาน
เย็น รถติด เหนียวตัว เหนื่อย
ดึก ทำงานบ้าน
เสาร์-อาทิตย์ นอน
เฮ้อ...
วัฏจักร ก็แค่นี้
55555++++

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

Steroid

สเตอรอยด์ (อังกฤษ: steroid) เป็นลิพิดที่มีคุณสมบัติพิเศษ โดยที่โครงสร้างคาร์บอนจะเป็นวงแหวน 4 วงเชื่อมต่อกัน ความแตกต่างของชนิดสเตอรอยด์จะผันแปรไปตามฟังก์ชันนัลกรุป (functional group) ที่ติดอยู่กับวงแหวนเหล่านี้ มีสเตอรอยด์แตกต่างกันเป็นร้อยชนิดที่สามารถตรวจพบในพืชและสัตว์ ตัวอย่างบทบาทสำคัญของสเตอรอยด์ในระบบชีวิตส่วนใหญ่คือ การเป็นฮอร์โมน


ในสรีรวิทยาและการแพทย์ของมนุษย์ สารสเตอรอยด์ที่สำคัญส่วนใหญ่ คือ คอเลสเตอรอล, สเตอรอยด์, ฮอร์โมน และสารตั้งต้น (precursor) และ เมแทบอไลต์ คอเลสเตอรอลเป็นสารประกอบประเภท สเตอรอยด์แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ เซลล์ เมมเบรน ในสัตว์ แต่อย่างไรก็ดีถ้ามันมีปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดโรค และภาวะผิดปกติมากมาย เช่น ภาวะผนังเส้นโลหิตแดงหนาและมีความยึดหยุ่นน้อยลง (atherosclerosis) สเตอรอยด์อื่นส่วนใหญ่ถูกสังเคราะห์จาก คอเลสเตอรอลฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมนเพศ ของ สัตว์มีกระดูกสันหลัง (vertebrate) ก็เป็นสเตอรอยด์ที่สร้างจากคอเลสเตอรอล
สเตอรอยด์แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
แอแนบอลิก สเตอรอยด์ (Anabolic steroid) - นักกีฬา เพื่อเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
คอร์ติโคสเตอรอยด์ (Corticosteroid) - มีผลต่อ เมตาโบลิซึม และการกำจัด อิเล็กโตรไลต์
ฮอร์โมนเพศ - แอนโดรเจน เอสโตรเจน และ โปรเจสตาเจน
โปรฮอร์โมน (Prohormone) - เป็นสารตั้งต้นของของสเตอรอยด์ ฮอร์โมน
ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol) - เป็นสเตอรอยด์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพืช
สเตอรอยด์ฮอร์โมน ทำให้เกิดผลทางสรีรวิทยา โดยการเชื่อมกับสเตอรอยด์ฮอร์โมนรีเซพเตอร์ โปรตีนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยีนทรานสคริปชั่น และการทำงานของเซลล์

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

หมูหยอง

ส่วนผสม

1. หมูเนื้อแดง 1 กก.
2. น้ำตาลทราย 200 กรัม
3. เกลือ 5 กรัม
4. ซีอิ้วขาว(soy sauce) 70 กรัม
5. ซีอิ้วดำ พอประมาณ

วิธีทำ
1. นำเนื้อหมูมาหั่นตามความยาวของเส้นใยกล้ามเนื้อ เป็นชิ้นขนาดยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร

2.นำไปต้มโดยใส่น้ำให้ท่วม ต้มจนเปื่อย นำขึ้นมาเลาะมันและเอ็นออกให้หมดฉีกหรือใส่ครกตำ แล้วนำไปคลุกกับเกลือ น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ ถ้าแห้งมากน้ำตาลทรายไม่ละลาย ตักน้ำที่ได้จากการต้มหมูลงคลุกเคล้าเล็กน้อย จนกระทั่งน้ำตาลทรายละลายหมด หมักทิ้งไว้ 10 นาที

3.นำไปผัดในกระทะใช้ไฟอ่อนในตอนแรก และใช้ไฟแรงในตอนหลังเพื่อให้กรอบ การผัดไม่ควรยีมากเพราะจะทำให้หมูหยองป่น ใช้เวลาผัดประมาณ 2 1/2 – 3 ชั่วโมง

กาแฟ้ กาแฟ

กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดซึ่งได้จากต้นกาแฟ หรือมักเรียกว่า เมล็ดกาแฟ คั่ว มีการปลูกต้นกาแฟในมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก กาแฟเขียว (กาแฟซึ่งยังไม่ผ่านการคั่ว) เป็นหนึ่งในสินค้าทางการเกษตรซึ่งมีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก[1] กาแฟมีส่วนประกอบของคาเฟอีน ทำให้มันมีสรรพคุณชูกำลังในมนุษย์ ปัจจุบัน กาแฟเป็นเครื่องดื่มซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก[2]
เป็นที่เชื่อกันว่าสรรพคุณชูกำลังจากเมล็ดของต้นกาแฟนั้นถูกพบเป็นครั้งแรกในเยเมน แถบอาระเบีย และทางตะวันออกเฉียงเหนือของเอธิโอเปีย และการปลูกต้นกาแฟในสมัยแรกได้แพร่ขยายในโลกอาหรับ[3] หลักฐานบันทึกว่าการดื่มกาแฟได้ปรากฎขึ้นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 อันเป็นหลักฐานซึ่งเชื่อถือได้และเก่าแก่ที่สุด ถูกพบในวิหารซูฟี ในเยเมน แถบอาระเบีย[3] จากโลกมุสลิม กาแฟได้แพร่ขยายไปยังทวีปยุโรป อินโดนีเซีย และทวีปอเมริกา[4] ในระหว่างที่กาแฟเริ่มเดินทางจากทวีปอเมริกาเหนือและตะวันออกกลางสู่ทวีปยุโรป กาแฟได้ถูกส่งผ่านไปยังซิซิลีและอิตาลีในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากนั้นผ่านตุรกีไปยังกรีซ ฮังการี และออสเตรียในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากอิตาลีและออสเตรีย กาแฟได้แพร่ขยายไปยังส่วนที่เหลือของทวีปยุโรป กาแฟได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในสังคมหลายแห่งตลอดประวัติศาสตร์ ในแอฟริกาและเยเมน มันถูกใช้ร่วมกับพิธีกรรมทางศาสนา ผลที่ตามมาคือ ศาสนจักรเอธิโอเปีย ได้สั่งห้ามการบริโภคกาแฟตลอดกาล จนกระทั่งถึงรัชสมัยของจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2[5] มันยังได้ถูกห้ามในจักรวรรดิออตโตมันระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17 เนื่องจากสาเหตุทางการเมือง[6] และมีส่วนเกี่ยวพันกับกิจกรรมทางการเมืองหัวรุนแรงในทวีปยุโรป
ผลกาแฟ ซึ่งบรรจุเมล็ดกาแฟ เป็นผลผลิตจากไม้พุ่มไม่ผลัดใบขนาดเล็กในจีนัส Coffea หลายสปีชีส์ โดยสายพันธุ์ที่มีการปลูกโดยทั่วไปมากที่สุด ได้แก่ Coffea arabica และรูปแบบ "โรบัสต้า" ซึ่งมีรสเข้มกว่าของ Coffea canephora ซึ่งสายพันธุ์ดังกล่าวมีความทนทานต่อราสนิมใบกาแฟ (Hemileia vastatrix) ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง สายพันธุ์กาแฟทั้งคู่มีการปลูกในละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปแอฟริกา เมื่อสุกแล้ว ผลดังกล่าวจะถูกเก็บรวบรวม นำไปผ่านกรรมวิธีและทำให้แห้ง หลังจากนั้น เมล็ดจะถูกคั่วในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรสชาติที่ต้องการ และจะถูกบดและบ่มเพื่อผลิตกาแฟ กาแฟสามารถตระเตรียมและนำเสนอได้ในหลายวิธี

ไก่ทอด ปาปริก้า น่าลอง แต่ หาซื้อได้ยากอะ

ไก่ทอดปาปริก้า มีกลิ่นหอม กรอบนอก นุ่มใน ไม่เลี่ยน รสชาติกลมกล่อมลงตัว
บางครั้งของใกล้ตัวที่ดูธรรมดา ก็อาจจะสามารถสร้างอาชีพได้ และหากรู้จักนำมาพลิกแพลงดัดแปลงให้มีจุดเด่น ก็อาจจะเป็นอาชีพที่ทำเงินได้อย่างน่าชื่นใจ อย่าง ไก่ทอด อาหารที่นิยมทานกันทุกภาค มีคนทำขายทั่วไป ถ้ามีทำเลเหมาะสม และมีสูตรใหม่ ๆ แปลก ๆ ก็สามารถจะเป็น ช่องทางทำกิน ที่ดีได้
ชัยวัฒน์ บงกชเกตุสกุล หรือ แชมป์ อายุ 27 ปี เป็นเจ้าของธุรกิจ ไก่ทอดปาปริก้า เจ้าตัวเล่าให้ฟังถึงที่มาของธุรกิจนี้ว่า ครอบครัวทำธุรกิจขายอาหารมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่ หลังเรียนจบสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ก็รับช่วงทำธุรกิจอาหารต่อจากคุณพ่อ ซึ่งเป็นธุรกิจเฉาก๊วยโบราณ โดยนำความรู้ที่เรียนมาปรับปรุงพัฒนาสินค้าให้มีเอกลักษณ์เฉพาะและมีจุดขาย ที่น่าสนใจ ต่อยอดเป็นธุรกิจเฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ แล้วเพิ่มเติมตามด้วยข้าวเกรียบกุ้ง ลูกชิ้นปลาทอด แกงไตปลาแห้ง และไก่ทอดปาปริก้า
เพราะครอบครัวทำธุรกิจอาหาร ทำให้ผมชีวิตคลุกคลีอยู่กับอาหารมาตั้งแต่เล็กจนโต ปลูกฝังนิสัยให้เป็นคนชอบกินและชอบคิดทำอาหารต่าง ๆ ออกมาเรื่อยๆ อย่างผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือ ไก่ทอดปาปริก้า ที่ทำก็เพราะเท่าที่สำรวจดูคนไทยชอบกินไก่ทอด เพราะเป็นอาหารที่กินง่าย จะเห็นได้ว่าที่ไหน ๆ ก็มีขาย แต่จะขายดีหรือเปล่านั้นก็แล้วแต่รสชาติแต่ละเจ้า จึงตัดสินใจซื้อสูตรไก่ทอดมา นำมาปรับปรุงเพิ่มเติมให้เป็นรสชาติเฉพาะของผมเอง คือไก่ทอดปาปริก้า มีกลิ่นหอม กรอบนอก นุ่มใน ไม่เลี่ยน รสชาติกลมกล่อมลงตัว
การทำอาชีพนี้ อุปกรณ์หลัก ๆ ก็มี… เตาแก๊ส, กระทะใบบัว, ตะหลิว, ตะแกรง, กะละมัง, ถาดสแตนเลสขนาดใหญ่, ตาชั่งขนาดเล็ก, ช้อนตวง และเครื่องครัวอื่น ๆ
ส่วนวัตถุดิบ ตามสูตรก็คือ… ไก่ (ปีกกลาง) 10 กิโลกรัม ต่อผงปรุงรส 100 กรัม, พริกไทยดำป่น 100 กรัม, เกลือ 150 กรัม, ซอสปรุงรส, แป้งข้าวโพด, น้ำมันปาล์ม, ใบเตย, น้ำสะอาด และขาดไม่ได้คือ ผงปาปริก้า
ขั้นตอนการทำไก่ทอดปาปริก้าเริ่มจากนำไก่ปีกกลางที่เตรียมไว้มาล้างให้สะอาด ตั้งพักให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไก่ที่ได้มาทำการ นวดให้ทั่วทุกปีก ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นเคล็ดลับที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เนื้อไก่มีความนุ่มละมุนลิ้น อร่อยยิ่งขึ้น ปีกไก่ที่นวดแล้วนำมาผ่าตามแนวกระดูก ตั้งพักไว้ในกะละมังสักครู่
ต่อไปเป็นขั้นตอนผสมเครื่องปรุง โดยนำเอาผงปรุงรส, ซอสปรุงรส, ผงปาปริก้า และพริกไทยดำป่น มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็นำเอาปีกไก่ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปผสมกับเครื่องปรุง เคล้าให้ปีกไก่กับเครื่องปรุงเข้ากันให้ทั่ว แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้เครื่องปรุงเข้าถึงเนื้อไก่
หมักตามเวลาแล้วก็นำแป้งข้าวโพดมารโรยใส่ในปีกไก่หมักพอประมาณ ถ้าข้นก็ให้เติมน้ำสะอาดเล็กน้อย ทำการคลุกเคล้ากันให้ทั่วอีกครั้ง จากนั้นก็เตรียมทอดได้เลย
ขั้นตอนการทอด
นำกระทะตั้งไฟ ใส่นำมันมาก ๆ รอให้น้ำมันร้อนจัดจึงค่อยนำไก่ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปทอด การใส่ไก่ตอนน้ำมันร้อนจัดก็เพื่อไม่ให้เนื้อไก่ติดกระทะเวลาทอด ใช้ตะหลิวคนและทำการกลับไก่ 3-4 ครั้ง ให้สุกทั่ว ใส่ใบเตยที่ตัดขนาด 1 นิ้วใส่ตามลงไป เพื่อให้ปีกไก่มีกลิ่นหอมและมีสีสันน่ากินยิ่งขึ้น ทอดให้สุกเหลือง จึงค่อยตักขึ้นมาซับน้ำมัน ก็พร้อมรับประทาน พร้อมจำหน่ายได้เลย
แชมป์บอกว่า ปีกไก่ 1 กิโลกรัม เวลาทอดแล้วไก่จะมีน้ำหนักเหลือประมาณ 6 ขีด
สำหรับราคาขายคือ ขีดละ 35 บาท (3 ขีด 100 บาท จะทำให้ขายง่ายขึ้น )
ใครที่กำลังมองหาอาชีพขายอาหารที่ลงทุนน้อย ก็ลองขาย ไก่ทอด ดู ส่วนใครสนใจ ไก่ทอดปาปริก้า เจ้านี้เขาขายอยู่แถวดอนเมือง ร้านอยู่ข้างตึกเจ้เล้ง ซึ่งคุณแชมป์ยังรับออกบูธ งานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ และยังมีโครงการขยายสาขาเพิ่มเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ ใครต้องการติดต่อก็ โทร.08-4770-0599, 08-9078-6565

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ง่าย ๆ ถ้าคุณทำได้...

เคล็ดลับหน้าใส ใครๆก็ต้องการทรายกันทั้งนั้น จริงมั้ยคะ? วันนี้โบว์มี 8 เคล็ดลับวิธีทำหน้าใสได้อย่างใจคิดมาฝากกันค่ะ

ข้อแรกนะคะ ถ้าเป็นคนที่ชอบแต่งหน้า เราก็ควรที่จะรู้จักวิธีเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าของเราอย่างถูกวิธี เพื่อผิวหน้าของเราจะได้สะอาด หน้าใสไร้สิวนะจ๊ะ

2. ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี เพื่อผิวสวยหน้าใส โดยเลือกสบู่ล้างหน้าให้เหมาะกับผิวของตนเองนะคะ อย่างเช่น ถ้าเป็นคนผิวมัน ก็ควรเลือกใช้สบู่แบบออยล์คอนโทรล เป็นต้นค่ะ และไม่ควรหน้าล้างเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นได้นะคะ

3. ก่อนล้างหน้าควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเป็นการเปิดรูขุมขน หลังจากนั้นใช้สบู่ล้างหน้าและล้างฟองออกด้วยน้ำเย็น เพื่อปิดรูขุมขนค่ะ ซับหน้าด้วยผ้าขนหนูเบาๆและใช้สำลีชุบโทนเนอร์เช็ดหน้าอีกครั้งค่ะ เพื่อกระชับรูขุมขน

4. หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง ควรทาครีมบำรุงผิว เพื่อทดแทนความชุ่มชื่นที่เสียไปจากการล้างหน้า เพื่อป้องกันริ้วรอยและรอยหมองคล้ำต่างๆก่อนวัยอันควรจ๊ะ

5. หาเวลาว่าง พอกหน้าและขัดหน้าสัปดาห์ละ1ครั้งนะค่ะ เพื่อเป็นการทำความสะอาดผิวหน้าที่ลึกซึ้งมากกว่าการล้างหน้าตามปกติ บำรุงผิวไปในตัว และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นค่ะ เพื่อผิวพรรณที่สวย หน้าใสเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดีคะ

6. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าและดื่มน้ำสะอาด ให้มากๆค่ะ อย่างเช่น ผักสดและผลไม้สดค่ะ ดีต่อผิวของเรานะจ๊ะ

7. ออกกำลังเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินเพื่อช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และหน้าใสมีเลือดฝาดค่ะ

8. ยิ้มร่าเริงแจ่มใส ทำใจให้สดชื่น เพราะจิตใจมีผลควบคู่ไปกับร่างกาย ผิวพรรณและสุขภาพที่ดีนะคะ

ผลไม้ ลดความอ้วน

การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน

แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก" กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก? จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

H

วิตามินเอช (BIOTIN)
ไบโอติน หรือ vitamin H จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามิน บี จำเป็นสำหรับขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย เช่น การเติมคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่สารประกอบ หรือเอาคาร์บอนไดออกไซต์ออกจากสารประกอบ จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์เอนไซม์ในร่างกาย ช่วยบำรุงผิวหนัง ผม กล้ามเนื้อ และประสาท อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิรต์ ผักต่างๆโดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท แต่ก็ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละ วัน วิตามินนี้จะถูกสังเคราะห์โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ ไบโอตินเป็นกรดที่มีกำมะถันอยู่ด้วยในโมเลกุล ผลึกของ ไบโอตินเป็นรูปเข็มยาว ในธรรมชาติมักเกิดรวมอยู่กับกรดอะมิโนไลซีน ระดับของไบโอตินในเซรุ่มของคนปกติอยู่ระหว่าง 213-404 นาโนกรัม/มล. สาเหตุหนึ่งที่ร่างกายอาจขาดไบโอตินได้ก็คือ การรับประทานไข่ขาวดิบในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานๆ ทั้งนี้เพราะในไข่ขาวมีสารที่จะทำลายไบโอติน เมื่อร่างกายเกิดอาการขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคผิวหนัง ผิวหนังมีสีเทา อ่อนเพลีย โลหิตจาง มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ
* ข้อมูลทั่วไป o วิตามิน H หรือไบโอติน จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งสามารถละลายน้ำได้ วิตามินตัวนี้จะพบได้ในทุกเซลล์ในร่างกาย แต่พบว่ามีปริมาณน้อย โดยพบว่าพบมากที่ตับและไต ของร่างกาย ร่างกายสามารถสร้างได้เอง โดยแบคทีเรียจากลำไส้ o คุณสมบัติ เป็นผลึกรูปเข็ม ไม่มีสี ทนต่อความร้อน แสงสว่าง กรดและด่าง ละลายได้ดีในน้ำร้อนและแอลกอฮอล์ * ประโยชน์ต่อร่างกาย o ทำ หน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในขบวนการต่างๆของร่างการ เช่น กระบวนการเผาพลาญของร่างกาย ขบวนการสร้างกรดไขมัน พิวรีน เป็นตัวส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยผลิตฮอร์โมนเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ และอินซูลิน อีกทั้งยังรักษาสุขภาพของผิวหนัง ผม ต่อม เหงื่อ และกระดูกอ่อนอีกด้วย * แหล่งที่พบ o จะ พบทั่วไปในแหล่งอาหารธรรมชาติ แต่พบมากในเครื่องในสัตว์ เช่น ตับหมู ไตหมู รวมทั้งพวก เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวโพด ข้าวกล้อง ไข่แดง ถั่ว ยีสต์ ผักเช่น ดอกกะหล่ำปลี แครอท และพบในผลไม้ได้บ้าง

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ลดต้นขา ง่าย น่าลอง มั้ง ?

1. นอนหงายกับพื้น หาหมอนรองก้นไว้กันเจ็บ
2. ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที
3. ยังยกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง
4. ปั่นจักรยานกลางอากาศประมาณ 100 ครั้ง
5. เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง

ใครที่ีต้นขาใหญ่ ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ลองทำตามคำแนะนำดูนะคะ (แรกๆอาจจะเมื่อยหน่อย แต่ทำบ่อยๆ ก็จะหายเองค่ะ)

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

NGV คือ...

ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Natural Gas for Vehicles หรือเรียกย่อๆ ว่า NGV โดยอาจจะรู้จักกันในชื่อของ ก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas : CNG) นับเป็นเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ในยานยนต์ ซึ่งก็เหมือนกับก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ตามบ้าน เพื่อการประกอบอาหาร การทำความร้อน และการทำน้ำร้อน เป็นต้น


ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ได้มีการนำมาใช้กับยานยนต์ในหลายๆ ประเทศ เกือบทั่วทุกภูมิภาคของโลก แต่อัตราการเพิ่มยังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ทั้งนี้ เนื่องจากยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีมานานกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤตการณ์น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกเชื้อเพลิงหนึ่ง เพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน ประกอบกับก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่มีการเผาไหม้ที่สะอาด จึงได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เพื่อลดปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนับจากปี 2527 ที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้เริ่มศึกษาและทดลองนำ NGV มาใช้ในรถยนต์ เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเชื้อเพลิงที่มีการเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ และปล่อยมลพิษสู่บรรยากาศต่ำสุด เมื่อเทียบกับการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงอื่นต่อมาในปี 2536 ได้ร่วมกับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขยายการใช้ NGV ไปสู่รถโดยสารปรับอากาศที่เป็นรถขนส่งมวลชนสาธารณะ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป ส่งผลให้ NGV เริ่มเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนมากขึ้นและภายหลังจากที่ ปตท. ได้จัดตั้งโครงการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้มีการใช้ NGV เมื่อปี 2543 ส่งผลให้ประเทศไทยมีรถยนต์ที่ปรับเปลี่ยนมาใช้ NGV มากขึ้น โดยมีแนวโน้มตัวเลขที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า NGV เป็นเชื้อเพลิงที่มีความเหมาะสมและสามารถใช้ได้กับรถยนต์ทุกประเภท



ก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานปิโตรเลียมชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับน้ำมัน ที่จริงแล้ว น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ก็คือซากพืชและซากสัตว์ที่ทับถมกันมานานหลายแสนหลายล้านปี และทับถมสะสมกันจนจมอยู่ใต้ดิน แล้วเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่า ฟอสซิล ระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ จนซากพืชและซากสัตว์หรือฟอสซิลนั้นกลายเป็นน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ในที่สุด ในทางวิทยาศาสตร์ เรารู้กันดีว่า ต้นพืชและสัตว์ รวมทั้งคน ประกอบด้วยเซลล์เล็กๆ มากมาย เซลล์เหล่านี้ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนเป็นหลัก เวลาซากสัตว์และซากพืชทับถมและเปลี่ยนรูปเป็นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน พวกนี้จึงมีองค์ประกอบของสารไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อนำไฮโดรคาร์บอนเหล่านี้มาเผา จะให้พลังงานออกมาแบบเดียวกับที่เราเผาฟืน เพียงแต่เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน ให้ความร้อนมากกว่า

1. องค์ประกอบของก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติมีก๊าซหลายอย่างเป็นประกอบด้วยกัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า มีเทน (CH2) , อีเทน (C2H6) , โพรเพน (C3H8) , บิวเทน (C4H10) , ไนโตรเจน (N2) , คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ฯลฯ แต่โดยทั่วไปจะประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 70 ขึ้นไป ก๊าซพวกนี้เป็นสารไฮโดรคาร์บอน เมื่อจะนำมาใช้ ต้องแยกก๊าซออกจากกันเสียก่อน จึงจะใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ นอกจากสารไฮโดรคาร์บอนแล้ว ก๊าซธรรมชาติยังอาจประกอบด้วยก๊าซอื่นๆ อาทิ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) , ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) , ไนโตรเจน (N2) และน้ำ (H2O) เป็นต้น สารประกอบเหล่านี้สามารถแยกออกจากกันได้ โดยนำมาผ่านกระบวนการแยกที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ซึ่งก๊าซที่ได้แต่ละตัวนำไปใช้ประโยชน์ต่อเนื่องได้อีกมากมาย 2. ข้อดีของการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง2.1 คุณสมบัติทั่วไปของก๊าซธรรมชาติ
เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมชนิดหนึ่ง เกิดจากการทับถมของสิ่งมีชีวิตนับล้านปี
เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นหลัก
ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ปราศจากพิษ (ส่วนมากกลิ่นที่เราคุ้นเคยจากก๊าซธรรมชาติเป็นผล มาจากการเติมสารเคมีบางประเภทลงไป เพื่อให้ผู้ใช้รู้ได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ ก๊าซรั่ว)
เบากว่าอากาศ (ความถ่วงจำเพาะ 0.5-0.8 เท่าของอากาศ)
ติดไฟได้ โดยมีช่วงของการติดไฟที่ 5-15% ของปริมาตรในอากาศ และอุณหภูมิที่สามารถติดไฟได้เองคือ 650 องศาเซลเซียส 2.2 คุณประโยชน์ของก๊าซธรรมชาติ
เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่นำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีการเผาไหม้สมบูรณ์
ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน
มีความปลอดภัยสูงในการใช้งาน เนื่องจากเบากว่าอากาศ จึงลอยขึ้นเมื่อเกิดการรั่ว
มีราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงปิโตรเลียมอื่นๆ เช่น น้ำมัน น้ำมันเตา และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยผลิตได้เองจากแหล่งในประเทศ จึงช่วยลดการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงอื่นๆ และประหยัดเงินตราต่างประเทศได้มาก3. ประโยชน์ของก๊าซธรรมชาติ สามารถใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ 3.1 ใช้เป็นเชื้อเพลิง เราสามารถใช้ก๊าซธรรมชาติได้โดยตรง ด้วยการใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า หรือในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเซรามิค อุตสาหกรรมสุขภัณฑ์ ฯลฯ และเมื่อนำไปอัดใส่ถังด้วยความดันสูงก็สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ได้ (NGV)3.2 นำไปผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกก๊าซ เพราะในตัวเนื้อก๊าซธรรมชาติ มีสารประกอบที่เป็นประโยชน์อยู่มากมาย เมื่อนำมาผ่านกระบวนการแยกที่โรงแยกก๊าซแล้ว ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้ดังนี้
ก๊าซมีเทน (C1) : ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม และนำไปอัดใส่ถังด้วยความดันสูง เรียกว่า ก๊าซธรรมชาติอัด สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์
ก๊าซอีเทน (C2) และก๊าซโพรเพน (C3) : ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น สามารถนำไปใช้ผลิตเม็ดพลาสติก เส้นใยพลาสติกชนิดต่างๆ เพื่อนำไปใช้แปรรูปต่อไป
ก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) : นำเอาก๊าซโพรเพนกับก๊าซบิวเทนมาผสมกัน อัดใส่ถังเป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas - LPG) หรือที่เรียกว่า ก๊าซหุงต้ม สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน และใช้ในการเชื่อมโลหะได้ รวมทั้งยังนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทได้อีกด้วย
ไฮโดรคาร์บอนเหลว (Heavier Hydrocarbon) : อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิ และความดันบรรยากาศ เมื่อผลิตขึ้นมาถึงปากบ่อบนแท่นผลิต สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซบนแท่นผลิต เรียกว่า คอนเดนเสท (Condensate) สามารถลำเลียงขนส่งโดยทางเรือหรือทางท่อ นำไปกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปต่อไป


ภาพแสดงกระบวนการแยกก๊าซ


ก๊าซโซลีนธรรมชาติ (Natural Gasoline) : แม้ว่าจะมีการแยกคอนเดนเสทออกเมื่อทำการผลิตขึ้นมาถึงปากบ่อบนแท่นผลิตแล้ว แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซ เมื่อผ่านกระบวนการแยกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติแล้ว ไฮโดรคาร์บอนเหลวเหล่านี้ก็จะถูกแยกออก เรียกว่า ก๊าซโซลีนธรรมชาติ หรือ NGL (Natural Gasoline) และส่งเข้าไปยังโรงกลั่นน้ำมัน เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปได้เช่นเดียวกับคอนเดนเสท และยังเป็นตัวทำละลายซึ่งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภทได้เช่นกัน
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : เมื่อผ่านกระบวนการแยกแล้ว จะถูกนำไปทำให้อยู่ในสภาพของแข็ง เรียกว่า น้ำแข็งแห้ง นำไปใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร อุตสาหกรรมน้ำอัดลมและเบียร์ ใช้ในการถนอมอาหารระหว่างการขนส่ง นำไปเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำฝนเทียม และนำไปใช้สร้างควันในอุตสาหกรรมบันเทิง อาทิ การแสดงคอนเสิร์ต หรือ การถ่ายทำภาพยนตร์
4. คุณสมบัติของก๊าซธรรมชาติเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น

ตารางที่ 1.1 คุณสมบัติของก๊าซธรรมชาติเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น

ข้อเปรียบเทียบ
ก๊าซ NGV
ก๊าซ LPG
น้ำมันเบนซิน
น้ำมันดีเซล
สถานะ
เป็นก๊าซ
เป็นก๊าซ และเก็บในรูปของเหลว ที่ความดัน 7 บาร์
เป็นของเหลว
เป็นของเหลว
น้ำหนัก
เบากว่าอากาศไม่มีการสะสม เมื่อเกิดการรั่วไหล
หนักกว่าอากาศจึงเกิดการสะสม ซึ่งเป็นอันตราย
หนักกว่าอากาศ
หนักกว่าอากาศ
ขีดจำกัดการติดไฟ **(Flammability limit, %โดยปริมาตร)
5 – 15 %
2.0 - 9.5 %
1.4 – 7.6 %
0.6 – 7.5 %
อุณหภูมิติดไฟ (Ignition Temperature)
650 °C
481 °C
275 °C
250 °C

** ขีดจำกัดการติดไฟ (Flammability limit) เป็นขอบเขตการเผาไหม้ที่ต้องมีสัดส่วนของ ไอเชื้อเพลิงในอากาศที่จะลุกไหม้ได้เมื่อมีประกายไฟ หรือมีความร้อนสูงถึงอุณหภูมิติดไฟ

LPG คือ...

LPG ย่อมาจาก Liquefied Petroleum Gas หรือ LP gas ก็สามารถเรียกได้เช่นกัน LPG เป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลกทุกวันนี้ และในบางที มันถือเป็นพลังงานหลักในการทำความร้อนและการปรุงอาหาร เช่นในประเทศอินเดีย และพื้นที่ห่างไกล บางแห่งในสหรัฐอเมริกา และ ยิ่งในปัจจุบันที่ราคาพลังงานน้ำมันเพิ่มขึ้น อย่างก้าวกระโดดด้วยแล้ว การใช้ Gas ดูเหมือนว่ามันทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง
อะไรคือ LPG ?มี LP gas อยู่ 2 ชนิดที่สามารถถูกเก็บในรูปแบบของเหลวภายใต้แรงกดดัน คือ โปรเพน(propane) และ บิวเทน (butane) ในขณะที่ ในขณะที่ isobutane ซึ่งมีส่วนประกอบทางเคมีที่ต่างกับ บิวเทน ก็มีการใช้งานเช่นกัน โดยปกติแล้ว บิวเทน และ ไอโซบิวเทน จะถูกผสม กับ โปรเพน ในหลายๆสูตร ขึ้นอยู่กับความต้องการ เพื่อนำไปใช้พลังงาน
Propane คือเชื้อเพลิงที่สามารถพกพาได้ เพราะมีจุดเดือดที่ -44F หรือ -42C นั่นหมายถึง ถึงแม้ว่าที่อุณหภูมิต่ำมากๆ มันก็จะกลายเป็นไอแทบจะทันทีที่มันถูกปล่อยออกจากภาชนะบรรจุมัน ซึ่งมีความดันคุมอยู่
Butane มีจุดเดือดอยู่ที่ 31F (-0.6C) ซึ่งนั่นหมายถึงมันจะไม่เปลี่ยนเป็นไอในอุณหภูมิ ที่เย็นมากๆ และนั่นทำให้ บิวเทนนั้นหมายถึงการนำไปใช้งานที่ยากขึ้น และ ทำให้ ในหลายๆ กรณี เราจะต้องผสมระหว่าง บิวเทน และ โปรเพน แทนที่จะใช้มันแบบเดี่ยวๆ
น้ำหนักหนึ่งปอนด์ของ โปรเพน สามารถให้พลังานได้ถึง 21,548 BTU ในขณะที่บิวเทน ให้พลังงานที่ 21,221 BTU ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับพลังงานอย่างอื่นได้ดังนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง : 21,200 BTU
ถ่านหิน : 10,000 BTU
ไม้ : 7,000 BTU
แหล่งที่มาของ LPGLPG คือหนึ่งในพลังงานจาก ฟอสซิล เช่นเดียวกับน้ำมัน และ ก๊าซธรรมชาติ และการจะได้มาซึ่ง LPG นั่นจะต้องอาศัยการกลั่นน้ำมันดิบหรือ Crude Oil ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า LPG นั้นเป็นผลพลอยได้โดยอัตโนมัติ เพราะว่าบริษัท กลั่นน้ำมันส่วนใหญ่ก็จะมุ่งไปที่น้ำมันซึ่งเป็นรายได้หลัก
แต่การกลั่นน้ำมันก็ใช่ว่าจะเป็นหนทางเดียวกับการได้มาซึ่ง LPG เพราะว่า การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากพื้นดินนั้น ปกติจะได้มาซึ่งก๊าซมีเทน 90% แต่ที่เหลือจะเป็น LPG เช่นกัน ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปกติบริษัทที่ขุด จะทำการแยก LPG ออกจาก มีเทนเสียก่อนที่จะส่ง มีเทนไปใช้งาน
LPG กับการใช้งานใกล้ตัวLPG นั้นเก็บง่ายและปลอดภัย และ เคลื่อนย้ายง่ายอีกด้วย ทำให้มันมีการ นำไปใช้งานในหลายๆ รูปแบบ อย่างหนึ่งซึ่งใกล้ตัวเรามากคือไฟแช็ค ซึ่ง เป็นส่วนผสมระหว่าง บิวเทน และ ไอโซบิวเทน ใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็อาจจะเป็น แก๊สที่เราเอาไว้สำหรับการตั้งแค้ม เพื่อปิ้งย่าง ซึ่งนั้นคือ โปรเพน
LPG นั้นไม่เพียงแต่เป็นพลังงานสำหรับการใช้งานส่วนตัวในขณะบ้านเท่านั้น แต่ในอุตสาหกรรมก็มีการใช้งานกว้างขวางเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความร้อน และอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมแก้วและเซรามิค
และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ LPG เข้าไปมีบทบาทอย่างมากคือ การใช้งานใน อุตสหกรรมยานยนต์ หรือ รถยนต์ที่ใช้แก๊สนั่นเอง
Autogasตามข้อมูลของ World Liquefied Petroleum Gas Association (WLPGA) พบว่า ปัจจุบันมียานพาหนะกว่า 9 ล้านคันใน 38 ประเทศใช้ LPG และมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อย่างใด เพราะว่า ยานพาหนะที่ใช้แก๊สโปรเพนนั้นมีการใช้งานมา ทศวรรต เพราะ จุดเด่นและประโยชน์ดังต่อไปนี้ - ลดมลภาวะ ตามข้อมูลของ WLPGA พบว่า การใช้ LPG นั้นได้ ก๊าซคาร์บอนมอนน๊อกไซต์น้อยกว่า 50% และ ไฮโดรคาร์บอนน้อยกว่า 40% ไนโตรเจนอ๊อกไซต์น้อยกว่า 35% เมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนั้น LPG ยังให้ค่า อ๊อกเทนที่สูง ทำให้ได้ประสิทธิภาพเช่นเดียวกับ น้ำมันเชื้อเพลิง และ ดีเซล
ในปัจจุบันมีบริษัทผลิตรถยนต์หลายบริษัท ได้สร้างรถที่ใช้พลังงานก๊าซ เช่น Ford, General Motors และ Daimler-Chrysler แต่รถพวกนี้ปกติก็ไม่ได้อยู่ในโชว์รูม คุณจะต้องสั่งพิเศษ

สำหรับรถที่มีการใช้งานแก๊สอย่างเดียวนั้น เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากทีเดียว เพราะนั้น หมายถึงการปรับแต่งเครื่องยนต์มาจากโรงงานเพื่อให้เหมาะกับการกับการใช้แก๊สจริงๆ แต่ก็มีการใช้งานอยู่บ้างในยุโรป
สำหรับ dual fuel systems หรือระบบสองพลังงานนั้นจะเป็นระบบที่มีการใช้งานแพร่ หลายที่สุดในปัจจุบัน เพราะความสะดวกและไม่จำเป็นจะต้องหาเติมเฉพาะแก๊ส แต่เติมได้ทั้งน้ำมันและแก๊ส เพราะบางครั้งการหาปั๊มแก๊สก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
การเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงรถยนต์จากระบบน้ำมันไปเป็นการใช้พลังงานคู่นั้น จำเป็น จะต้องอาศัยช่างผู้เชี่ยวชาญ โดยนอกจากติดตั้งที่ร้านที่ชำนาญแล้ว ในอเมริกาเองยังมีชุด kit สำหรับการติดตั้งเองได้ ถ้าท่านมีความรู้ด้านเครื่องยนต์
ความปลอดภัยและการเก็บรักษาLPG นั้นมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานอย่างอื่น เพราะว่า โปรเพนนั้นมีอุณหภูมิจุดระเบิดสูง โดยอยู่ที่ประมาณ 850-950 (450-510C) เปรียบเทียบกับ 495F (257 C) สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง นั่นหมายถึง ทำให้มัน จุดระเบิดง่าย

นอกจากนั้นแล้วถังที่ใช้เก็บโปรเพนนั้น แข็งแรงกว่า ถังน้ำมันด้วยซ้ำ เพราะว่า มันต้องรองรับความกดดันได้ เมื่อโปรเพนอยู่ในรูปของเหลวภายใต้แรงกดดัน นอกจากนั้นถังก็ยังรองกับการกระแทกได้มากกว่าถังน้ำมันด้วยเช่นกัน
สำหรับการเก็บรักษาแก๊สอย่างปลอดภัยนั้น มีข้อควรระวังอยู่บ้างเช่นกัน เช่น จะต้องจำไว้เสมอว่าถังแก๊สนั้นจะไม่มีทางอยู่ในลักษณะที่ว่างปล่าวจริงๆ นั่นหมายถึง เมื่อเราเติมแก๊ส แก๊สส่วนใหญ่จะถูกอยู่ภายใต้ความกดให้อยู่ในรูปของเหลว แต่ในความกดดันที่ปลอดภัยนั้นทำให้ ไม่ใช่ทั้งหมดของโปรเพนที่ถูกอัดอยู่ในรูปของเหลว มันจะมีโปรเพนจำนวนน้อยอยู่ในรูปแก๊ส และเมื่อโปรเพนถูกใช้ไป จะทำให้ความกดดันเพิ่มขึ้น ทำให้โปรเพนที่อยู่ในรูปของเหลวมีน้อยลง ในขณะเดียวกันส่วนที่เป็นแก๊สก็จะเพิ่มมากขึ้น
เพราะฉะนั้นถังควรถูกเติมที่ความจุไม่เกิน 80% เท่านั้น นอกจากนั้นแล้วการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิจะส่งผลทำให้มีความเปลี่ยนแปลงความดันภายในถังเช่นกัน ถ้าคุณเติมถังเต็ม 100% ในขณะที่อุณหภูมิต่ำ และทิ้งรถไว้ในวันที่มีอากาศร้อนในวันถัดมา ความดันจะเพิ่มขึ้นจะอาจจะ เกิดอันตรายมาก

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ผักกาดดอง คุณก็ทำได้...

กระบวนการผลิตผักกาดดอง

1. นำผักกาดเขียวปลี 1 ก.ก. มาล้างทำความสะอาดและลอกใบที่เสียทิ้ง

2. เรียงใส่ภาชนะที่ใช้ดอง

3. ต้มน้ำดองประกอบด้วยน้ำสะอาด 3 ถ้วย เกลือ ½ ถ้วยและน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะและทิ้งให้เย็น

4. เทน้ำดองลงในภาชนะดอง

5. กดผักให้จมในน้ำดองตลอดการดอง

6. ใช้เวลาในการดอง 3-4 วัน

ผลิต ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว

ซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว

เมื่อเดือนที่แล้วมีโอกาสไปชมนิทรรศการวิชาการเทคโนอินโดจีน ซึ่งแสดงเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย เพื่อให้ประเทศเพื่อนบ้านของเราได้เห็นกัน ที่งานนี้เองได้พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านซีอิ๊วท่านหนึ่ง มาแสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว ซึ่งทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมากมายท่านเล่าให้ฟังว่า ตลาดสินค้าประเภทนี้โดยเฉพาะซีอิ๊วกำลังขยายตัวมาก ดังจะเห็นได้ว่ามีซีอิ๊วยี่ห้อและเกรดต่างๆมากมายในท้องตลาด ความหลากหลายดังกล่าวจึงก่อให้เกิดความสับสนให้กับผู้บริโภคพอสมควรทีเดียว เดือนนี้ก็เลยชวนท่านผู้อ่านไปสำรวจฉลากซีอิ๊วกันชนิดของซีอิ๊วและเต้าเจี้ยวสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม(สมอ.)ได้กำหนดมาตรฐานน้ำซีอิ๊ว โดยได้แบ่งประเภทของผลิตภัณฑ์ไว้ดังนี้1. ซีอิ๊วขาว หมายถึง ผลิตภัณฑ์ของเหลวที่ได้จากการย่อยโปรตีนถั่วเหลืองด้วยการหมัก และมิได้มีการแต่งรสและสี2. ซีอิ๊วดำเค็ม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำซีอิ๊วขาวมาเก็บต่อตามกรรมวิธีการผลิต(ageing) จนกระทั่งได้ความเข้มข้นและสีตามเกณฑ์ที่กำหนด3. ซีอิ๊วดำ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากซีอิ๊วขาวผสมกับสารให้ความหวาน ในอัตราส่วนที่พอเหมาะ จนได้ความหวานและความเค็มตามเกณฑ์ที่กำหนด4. ซีอิ๊วหวาน หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากซีอิ๊วขาวในปริมาณน้อยผสมกับสารให้ความหวานจนได้ความหวานตามเกณฑ์ที่กำหนดทั้งนี้ทาง สมอ. ได้กำหนดเกณฑ์เป็นส่วนประกอบร้อยละของโปรตีน เกลือ น้ำตาล ความเป็นกรดด่าง ฯลฯ ไว้สำหรับผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด ตามที่ได้สำรวจดูในท้องตลาด ส่วนใหญ่มีประเภท (1), (3) และ (4) นอกจากนี้ยังมีบางประเภทที่มีชื่อแปลกออกไป เช่น ซีอิ๊วขาว เห็ดหอม ซีอิ๊วดำหวาน เป็นต้นขณะนี้ซีอิ๊วที่จำหน่ายอยู่มีประมาณ 5-6 ยี่ห้อ บางยี่ห้อมีหลายสูตร ส่วนเต้าเจี้ยวมีไม่มากยี่ห้อเท่าซีอิ๊ว แต่ก็ยังมีหลายเกรดเช่นกัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักบรรจุในขวดแก้วใส ปิดด้วยฝาพลาสติก ทำให้ผู้บริโภคสามารถสังเกตเห็นผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ยกเว้นชนิดที่เกรดรองลงมามักนิยมบรรจุในขวดสีชาพระราชบัญญัติอาหารปี พ.ศ. 2522 กำหนดให้ซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว เป็นอาหารทั่วไปที่ต้องมีฉลากและอยู่ในหมวดของซอสในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท โดยให้ใช้ตัวย่อสำหรับผลิตภัณฑ์เป็น “ซ” ดังนั้น ในเครื่องหมายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงใช้อักษรย่อว่า “ฉผซ” กรรมวิธีการผลิตซีอิ๊วก่อนที่จะเริ่มอ่านฉลากกัน ก็อยากนำท่านไปรู้จักขั้นตอนในการผลิตซีอิ๊วและเต้าเจี้ยวชนิดต่างๆโดยสังเขป เพื่อเป็นแนวทางให้เข้าใจในฉลากผลิตภัณฑ์ต่อไปซีอิ๊วขาว เป็นผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมที่นิยมผลิตมาแต่โบราณ วัตถุดิบหลักที่ใช้คือถั่วเหลือง ซึ่งถูกนำมานึ่ง หรือต้มจนสุก ทิ้งไว้จนเย็น แล้วจึงนำมาผสมกับแป้งสาลี และหัวเชื้อรา (ชนิด Aspergillus oryzae) หลังจากนั้นนำไปแผ่ไว้บนกระด้งไม้ไผ่ประมาณ 3-6 วัน เพื่อให้เชื้อราเจริญเติบโต นักวิชาการเรียกส่วนผสมที่มีเชื้อราขึ้นนี้ว่า โคจิ (Koji)บางโรงงานอาจไม่จำเป็นต้องเติมเชื้อรา เพราะใช้กระด้งเก่าที่ใช้มานาน จึงปนเปื้อนด้วยราและสปอร์อยู่แล้ว ส่วนโรงงานที่ทันสมัยก็มักใช้ตะแกรงสเตนเลสแทนกระด้งและบ่มไว้ในตู้หรือห้องที่ปรับสภาพความชื้น ปริมาณอากาศ และอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้สามารถบ่มโคจิได้ครั้งละหลายร้อยกิโลกรัม และใช้เวลาที่สั้นกว่าคือประมาณ 44 ชั่วโมงเท่านั้น ในระหว่างการบ่มนี้ เชื้อราจะย่อยโปรตีน แป้ง ในถั่วเหลือง และแป้งสาลีให้เป็นกรดอะมิโนและน้ำตาล กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ได้จากการย่อยนี้ คือ กรดกลูตามิก (glutamic acid) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนในผงชูรสนั่นเอง จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในซีอิ๊วที่มีผลในการชูรสอาหาร นอกจากนี้น้ำตาลและกรดอะมิโนเหล่านี้ ยังมีส่วนที่ทำให้เกิดสีน้ำตาลและกลิ่นรสที่ดีในน้ำซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว ในกระบวนการผลิตขั้นตอนต่อมา เมื่อเชื้อราเจริญเติบโตได้ที่แล้ว ผู้ผลิตก็ถ่ายโคจิลงในโอ่งขนาดเล็กที่บรรจุน้ำเกลือ ความเข้มข้นร้อยละ 18 ปิดฝาและตั้งตากแดดไว้อีกประมาณ 2-3 เดือน ในช่วงเวลานี้สารต่างๆในโคจิถูกสกัดลงในน้ำเกลือ นอกจากนี้ยังมีการสร้างกลิ่นรสของซีอิ๊วโดยจุลินทรีย์บางชนิดที่สามารถเจริญเติบโตได้หลังจากครบเวลาที่กำหนดจึงกรองส่วนที่เป็นของเหลวออก แล้วนำไปฆ่าเชื้อด้วยความร้อนต่ำ(Pasteurization)ก่อนบรรจุขวด น้ำซีอิ๊วที่ได้ในขั้นตอนนี้เรียกว่า ซีอิ๊วขาวสูตร 1 หรือน้ำ 1 ซึ่งยอมรับกันว่าเป็นเกรดที่ดีที่สุด ส่วนกากที่เหลือถ้านำไปทำเต้าเจี้ยวก็ได้เต้าเจี้ยวเกรดที่ดีที่สุดเช่นกัน แต่ถ้าเติมน้ำเกลือลงไปสกัดอีก ก็จะได้ซีอิ๊วที่มีเกรดรองๆลงไป คือสูตร 2 สูตร 3 ฯลฯ เต้าเจี้ยวที่เป็นกากของซีอิ๊วเกรดรองลงมาถือว่าเป็นเต้าเจี้ยวที่มีคุณภาพรองลงมาด้วยส่วนซีอิ๊วดำเค็มน่าจะผลิตด้วยกระบวนการเดียวกับซีอิ๊วขาว แต่ใช้เวลาหมักในน้ำเกลือนานกว่า นอกจากนี้ยังมีการใช้ผสมกับน้ำตาล หรือกากน้ำตาล เพื่อทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วหวานข้อมูลบนฉลาก ส่วนผสมของซีอิ๊วขาวที่จำหน่ายนอกจากประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก คือถั่วเหลือง แป้งสาลี และเกลือแล้ว ยังมีการแต่งรสด้วยน้ำตาลและเติมสารกันบูด เช่น โซเดียมเบนโซเอต(Sodium benzoate)ด้วย ปริมาณเกลือในซีอิ๊วมีไม่สูงนัก เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องปรุงรสชนิดอื่น เช่น น้ำปลา ผู้ผลิตจึงมักนิยมเติมสารกันบูดลงไปเพื่อช่วยป้องกันการเน่าเสียด้วย ปริมาณของสารกันบูดตามมาตรฐานคือไม่เกินร้อยละ 0.1 ซึ่งเมื่อพิจารณาปริมาณการบริโภคซีอิ๊วของแต่ละบุคคล ก็ถือว่าได้รับสารเหล่านี้ในปริมาณที่น้อยมาก จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าห่วงบนฉลากของซีอิ๊วบางยี่ห้อ มีคำว่า “ซีอิ๊วขาวชั้นคุณภาพพิเศษ” ซึ่งแสดงว่าซีอิ๊วขาวยี่ห้อนี้ผ่านมาตรฐานของสำนักงานมาตรฐานอุตาสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม(สมอ.)ด้วย โดยปกติ สมอ. กำหนดมาตรฐานคุณภาพค่อนข้างเข้มงวด และควบคุมปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณโปรตีน น้ำตาล ฯลฯ ชั้นคุณภาพพิเศษถือว่าเป็นชั้นที่ สมอ. ถือว่ามีคุณภาพดีที่สุดสำหรับซีอิ๊วขาว และชั้นที่รองลงมาคือชั้นที่หนึ่ง เป็นต้นส่วนฉลากของซีอิ๊วขาวเห็ดหอมระบุว่ามีการผสมเห็ดหอมและเห็ดฟางด้วย ซึ่งคิดว่าเป็นการผสมน้ำที่ต้มสกัดกลิ่นเห็ด มากกว่าที่จะเติมดอกเห็ดลงในกระบวนการหมักซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วดำหวาน และซีอิ๊วหวาน เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมใกล้เคียงกัน จะแตกต่างกันที่ชนิดและปริมาณของสารให้ความหวาน บางชนิดก็ใช้น้ำตาลทราย บางชนิดก็ใช้กากน้ำตาลกินให้ถูก ซีอิ๊วขาวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแตกต่างกันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ซีอิ๊วขาวยี่ห้อเดียวกัน ชนิดสูตร 1หรือน้ำ 1 มีราคาถึง 54 บาท/ลิตร ส่วนสูตร5 หรือน้ำ 5 มีราคาเพียง 16 บาท/ลิตร เต้าเจี้ยวก็มีราคาแตกต่างอยู่ในทำนองเดียวกันซีอิ๊วชนิดอื่นๆ เช่น ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วหวาน ที่มีส่วนผสมของซีอิ๊วขาวเกรดดีกว่าและน้ำตาลทราย ก็มักมีราคาสูงกว่าชนิดที่ใช้ซีอิ๊วขาวเกรดด้อยกว่าและกากน้ำตาล ความแตกต่างเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิดความสับสนแน่นอนอย่างไรก็ตามอยากจะให้ท่านผู้อ่านทำใจเสียก่อนว่า ซีอิ๊วคือเครื่องปรุงรส ความคาดหวังจากผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ คือช่วยให้อาหารอร่อยถูกปากถูกใจท่านมากที่สุด ถ้าราคาไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญ ก็ควรเลือกชนิดที่มีเครื่องหมาย อย. และรสชาติถูกใจท่าน แต่ถ้าเงินเป็นปัจจัยสำคัญด้วยก็ควรเลือกชนิดที่มีเครื่องหมาย อย. โดยอาจเป็นเกรดที่รองลงมาปริมาณโปรตีนหรือสารอาหารบางตัวที่กำหนดในมาตรฐานของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ใช้สำหรับตรวจสอบในแง่ความแท้ของผลิตภัณฑ์มากกว่ามุ่งในแง่โภชนาการ เนื่องจากคุณภาพโปรตีนและกรดอะมิโนบางส่วนในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไป จนแทบไม่ได้เป็นประโยชน์ทางโภชนาการนัก นอกจากนี้ปริมาณที่บริโภคได้ก็ถูกกำจัดด้วยความเค็ม จึงไม่เห็นด้วยกับการเลือกซื้อเพราะหวังคุณค่าทางโภชนาการดังนั้นจึงอยากเตือนผู้ปกครองว่าไม่ควรนำซีอิ๊วขาวมาคลุกข้าวต้มป้อนทารก เพราะว่าจะทำให้เด็กขาดสารอาหารได้นอกจากนี้ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันเลือดสูง ที่นิยมใช้ซีอิ๊วแทนน้ำปลา เพราะมีเกลือน้อยกว่า ก็ควรต้องปรับพฤติกรรมการบริโภคให้ลดรสเค็มในอาหารลงด้วย เพราะถ้ายังกินรสเค็มเท่าเดิมอยู่ ก็จำเป็นต้องเติมซีอิ๊วในปริมาณที่มากกว่าน้ำปลา และในที่สุดก็ยังได้รับเกลือในปริมาณเท่าเดิม มิได้เป็นการจำกัดแต่อย่างไร

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ต้นไม้

ประโยชน์ของต้นไม้มีดังนี้

1.ต้นไม้จะ ช่วยคายออกซิเจนในช่วงกลางวัน ทำให้เราได้อากาศบริสุทธิ์ ซึ่งการได้สูดอากาศบริสุทธิ์ มีผลดีต่อสุขภาพ ของเรา

2. ช่วยดูดซับก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

3. เป็นร่มเงา บังแสงแดด ให้เกิดความร่มรื่น

4. เป็นที่อยู่ อาศัยของสัตว์ป่า

5. พืช ผล สามารถนำมารับประทานเป็นอาหาร หรือ ยารักษาโรคได้

6. เป็นแหล่งต้นน้ำ ลำธาร เนื่องจากที่บริเวณราก ที่ดูดซับน้ำ และ แร่ธาตุ เป็นการกัก เก็บน้ำไว้บริเวณผิวดิน


7. บริเวณรากของต้นไม้ ที่ยึดผิวดิน ทำให้เกิดความแข็งแรงของบริเวณผิวดินป้องกันการพัง ทลายจากดินถล่ม เนื่องจากมีรากเป็นส่วนยึดผิวดินอยู่ ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัด คือ การสาธิต การนำหญ้าแฝกมาประยุกต์ ป้องกันการพังทลาย ของหน้าดิน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระปรีชา สามารถของพระมหากษัตริย์ ประเทศของเรา

8. เป็นแนวป้องกัน การเกิดน้ำท่วม เนื่องจาก เมื่อเกิดสภาพที่น้ำเกินสมดุล ท่วมลงมาจากยอดเขา จะมีแนวป่า ต้นไม้ ช่วยชะลอความแรง จากเหตุการณ์น้ำท่วม

9. ลำต้น สามารถ นำมาแปรรูปทำประโยชน์ ต่างๆ เช่น บ้านเรือน ที่พักอาศัย สะพาน เฟอร์นิเจอร์ เรือ

10. การปลูกต้นไม้ เป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อย่างนึง

11. เมื่อเจริญ สามารถนำไปขายได้ราคา โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก

12 ต้นไม้ เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญต่อบรรดาสัตว์ป่า เป็นส่วนนึงในระบบนิเวศวิทยา

ทำยังไง... ถึงจะได้ไฟฟ้า

การผลิตกระแสไฟฟ้า
ประจุไฟฟ้า การผลิตกระแสไฟฟ้า ในชีวิตประจำวันเราใช้พลังงานหรือกระแสไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระแสไฟฟ้าจากสถานีไฟฟ้าที่ส่งมาตามสายไฟ เข้าสู่อาคารบ้านเรือน หรือจากเซลล์ไฟฟ้าเคมี ซึ่งในสภาวการณ์ปัจจุบันที่ปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าทวีมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีกาคิดค้นวิธีการต่าง ๆ ที่จะนำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการและมีต้นทุนต่ำ อะตอมของธาตุแต่ละชนิดจะประกอบด้วยโปรตอนที่เป็นประจุไฟฟ้าบวกและอิเล็กตรอนที่เป็นประจุฟ้าลบในจำนวนที่เท่ากัน ซึ่งทำให้ธาตุชนิดนั้นมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้าวัตถุทุกชนิดเมื่ออยู่สภาพเป็นกลางทางไฟฟ้าจะไม่แสดงอำนาจประจำไฟฟ้าออกมาสัญลักษณ์ของประจุไฟฟ้าบวกสัญลักษณ์ของประจุไฟฟ้าลบ
การนำวัตถุ 2 ชนิดมาเสียดสีกัน (ถูกัน) จะเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า ทำให้วัตถุ 2 ชนิด แสดงอำนาจไฟฟ้าออกมาได้ เช่น การนำแท่งพลาสติกกับผ้าขนสัตว์ อิเล็กตรอนจากผ้าขนสัตว์จะถ่ายเทไปยังแท่งพลาสติก ทำให้แท่งพลาสติกมีจำนวนอิเล็กตรอนมากกว่าจำนวนโปรตอน จึงแสดงอำนาจไฟฟ้าลบ (ประจุไฟฟ้าลบ) ส่วนผ้าขนสัตว์ที่สูญเสียอิเล็กตรอนจะมีจำนวนโปรตอนมากกว่าอิเล็กตรอน จึงแสดงอำนาจไฟฟ้าบวก
เซลล์ไฟฟ้าเคมีเซลล์ไฟฟ้าเคมี เป็นแหล่งกำเนิไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท1. เซลล์ไฟฟ้าปฐมภูมิ เป็นเซลล์ไฟฟ้าที่ใช้แล้วไม่สามารถนำมาประจุไฟฟ้า (ชาร์จไฟ) ใหม่ได้ เช่น ถ่านไฟฉาย ถ่านใส่นาฬิกาข้อมือ2. เซลล์ไฟฟ้าทุติยภูมิ เป็นเซลล์ไฟฟ้าที่ใช้แล้วสามารถนำมาประจุไฟฟ้า (ชาร์จไฟ) ใหม่ได้ เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ แบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือ
จากรูป สังกะสีจะแตกตัวเป็นอิออนและให้อิเล็กตรอนมากกว่าทองแดง ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากสังกะสีไปสู่ทองแดง ขณะเดียวกันก็จะเกิดการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าทิศทางตรงกันข้ามกับการไหลของอิเล็กตรอนจากทองแดงไปสู่สังกะสีจนกระทั่งขั้วไฟฟ้าทั้งสองขั้วมีประจุไฟฟ้าเท่ากัน จึงหยุดการเคลื่อนที่ ตัวอย่างเซลล์ไฟฟ้าเคมี ได้แก่ ถ่านไฟฉาย ถ่านใส่นาฬิกา ถ่านลิเทียม แบตเตอรี่เป็นต้น ถ่านไฟฉาย (Dry cell) เป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมี ที่มีลักษณะเป็นก้อน เมื่อใช้ไปเรื่อย ๆ กระแสไฟฟ้าจะลดลง จนกระทั่งหมดกระแสไฟฟ้า (ความต่างศักย์ไฟฟ้า ระหว่างขั้วเป็นศูนย์) ในที่สุด ถ่านไฟฉายมีทั้งประเภทใช้แล้วทิ้ง และประเภทที่นำมาประจุ หรือชาร์จไฟฟ้าได้ใหม่ ถ่านอัลคาไลน์ (Alkaline cell) มีรูปลักษณะคล้ายกับถ่านไฟฉาย มี่อายุการใช้งานยาวนานกว่า ถ่านไฟฉายธรรมดาและมีราคาแพงกว่า ถ่านลิเทียม (Lithium Cell) ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กคล้ายกับเม็ดกระดุมมักใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็กคล้ายกับเม็ดกระดุมมักใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็ก เช่น เครื่องคิดเลข นาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ข้อดีของถ่านลิเทียมก็คือ สามารถรักษาระดับพลังงานไฟฟ้าในเซลล์ให้มีค่าคงที่ตลอดอายุการใช้งาน แบตเตอรี่ (Battery) เป็นการนำเซลล์ไฟฟ้าเคมีตั้งแต่ 2 เซลล์ขึ้นไปมาต่อพ่วงเข้าด้วยกัน เพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้า มากขึ้น แบตเตอรี่ที่ใช้ปัจจุบันสามารถประจุไฟฟ้า (ชาร์จไฟ) ใหม่ได้ประมาณ 700 ครั้ง จึงมีราคาแพงแต่อายุการใช้งานที่ยาวนานเช่น แบตเตอรี่พาหนะ แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้กับยานพาหนะจะมีคุณลักษณะพิเศษ คือ สามารถประจุไฟฟ้า (ชาร์จไฟ) สะสมไว้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเครื่องยนต์ทำงานโดยจะต่อสายพานเครื่องยนต์ไปเชื่อมกับไดนาโมทำงานสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าสู่แบตเตอรี่ได้


ไดนาโม

ไดนาโม (Dynamo) เป็นเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าโดยอาศัยหลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า เปลี่ยนลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า หลักการทำงานของไดนาโมก็คือการหมุนขดลวดตัดสนามแม่เหล็กหรือเคลื่อนแท่งแม่เหล็กผ่านขดลวดอย่างรวดเร็ว ฟลักแม่เหล็กจะเปลี่ยนแปลงและเหนี่ยวนำทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเรียกว่า กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ไดนาโม มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ ขั้วแม่เหล็ก 2 ขั้ว (ขั้ว N และS ) สำหรับทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก ขดลวดไฟฟ้าพันรอบแกนเหล็กอ่อนสำหรับหมุนตัดกับเส้นแรงแม่เหล็กวงแหวนจะเชื่อมอยู่ที่ปลายขดลวดเพื่อหมุนแปรงขดลวดแปรงจะครูดกับวงแหวนซึ่งจะนำกระแสไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นได้ให้ไหลออกไปใช้ประโยชน์ แหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า การผลิตกระแสไฟฟ้าในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะใช้พลังงานน้ำเป้นแรงดัน ไปหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพราะระบบมีความซับซ้อนน้อยกว่า รวมไปถึงมีราคาถูกและจัดหาได้ง่าย ทำให้เกิดมลพิษต่ำกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยวิธีอื่น ๆ


กังหันลม เป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำประหยัด ต้นทุนต่ำ โดยการใช้พลังงานลมหมุนกังหัน แล้วต่อสายพานเข้ากับแกนไดนาโมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า การใช้กังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าต้องใช้ในแหล่งที่มีลมพัดแรงตลอดเวลา เช่น ชายทะเล บนที่สูง เป็นต้น

พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นแหล่งงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าในปัจจุบันนิยมใช้กันมากขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่ไม่จำกัด ประหยัด ต้นทุนในการผลิตต่ำซึ่งต่างจากแก๊ส และน้ำมันเชื้อเพลงที่มีต้นทุนในการผลิตสูงและมีโอกาสหมดไปจากโลก เซลล์สุริยะเป็นอุปกรณ์สำหรับเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้า แล้วเก็บพลังงานสะสมไว้ในแบตเตอรี่ เพื่อนำมาใช้งานต่อไป พลังงานไอน้ำ เป็นแหล่งพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าวิธีหนึ่งโดยใช้น้ำมัน แก๊ส หรือ ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการต้มน้ำให้เดือดจนกลายเป็นไอน้ำที่มีแรงดันสูงแล้วนำพลังงานไอน้ำไปหมุนไดนาโมเพื่อเกิดกระแสไฟฟ้า


พลังงานนิวเคลียร์ เป็นแหล่งพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าอีกวิธีหนึ่งโดยการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการจุดเตาปฏิกรณ์เพื่อต้มน้ำในหม้อขนาดใหญ่ให้กลายเป็นไอ แล้วนำไปหมุนไดนาโมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเช่นเดียวกับการใช้พลังงานไอน้ำ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

การผลิตแก้ว

แก้วเป็นวัตถุโปร่งแสง หรือกึ่งโปร่งแสง ที่ได้จากการหลอมเหลวออกไซด์ของโลหะต่าง ๆ เช่น ซิลิกาออกไซด์ โซเดียมออกไซด์ แคลเซียมออกไซด์ และตะกั่วออกไซด์ จนได้เป็นของเหลวเนื้อเดียวกัน แล้วทำให้เย็นลงเป็นของแข็งรูปร่างต่าง ๆ ตามที่ต้องการไปใช้ประโยชน์วัตถุดิบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแก้ว ได้แก่1. วัตถุดิบหลักตัวพื้น ได้แก่ ทราย (Silica Sand) 63% โซดาแอช (Soda Ash) 20% หินปูน (Limestone) 15%2. วัตถุดิบและสารเคมีที่เป็นตัวเสริมในการทำแก้ว ได้แก่- ตัวฟอกสีเพื่อให้ได้เนื้อแก้วใส ซีลีเนียม (Selenium), โคบอลต์ออกไซด์ (Cobalt Oxide)- ตัวช่วยเร่งการหลอมละลาย เศษแก้ว (Cullet) ฟลูออร์สปาร์ (Fluorspar)- ตัวไล่ฟองแก๊สที่เกิดจากการสลายตัวของวัตถุดิบ โซเดียม ซัลเฟต (Sodium Sulphate)- ตัวให้ออกซิเจน โซเดียมไนเตรท (Sodium Nitrate)- สารลดความหนืด ฟลูออร์สปาร์ (Fluorspar)- สารเพิ่มความคงทน อะลูมินา (Alumina) ซึ่งได้จากแร่เฟลสปาร์ (Fellspar)- สาร Stabilize ซีลีเนียม สารหนู (Arsenic)- สารทำให้เกิดสี เช่นโคบอลต์ ให้สีน้ำเงินทองแดง ให้สีทองซีลีเนียม ให้สีแดงถ่าน ให้สีน้ำตาล ฯลฯขั้นตอนต่อไปนำเอาวัตถุดิบดังกล่าวเข้าเครื่องบดและผสมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสมสำหรับแก้วแต่ละชนิด แล้วนำเข้าเตาหลอม อุณหภูมิ ประมาณ 1,500-1,600 องศาเซลเซียส จนส่วนผสมต่าง ๆ หลอมละลายเป็นแก้วเหลว แล้วส่งไปยังเครื่องขึ้นรูปเพื่อทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ต่อไป
การใช้ประโยชน์จากแก้วและกระจก
แก้วเป็นวัสดุที่มนุษย์รู้จักและนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะแก้วเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีความแข็งและความโปร่งใส แสงสามารถส่องผ่านได้ มีความทนทานต่อสารเคมีสามารถทำเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้แทบทุกชนิด ซึ่งมนุษย์นำแก้วมาใช้ประโยชน์ดังนี้1. ทำภาชนะต่าง ๆเนื่องจากแก้วมีคุณสมบัติโปร่งใสและทนทานต่อสารเคมีต่าง ๆ ได้ดี จึงนิยมนำมาทำภาชนะต่าง ๆ เช่น แก้วน้ำ ขวดบรรจุเครื่องดื่มและอาหารต่าง ๆ จาน ชาม ถ้วย ฯลฯ2. ก่อสร้างตกแต่งอาคารและเฟอร์นิเจอร์นำมาทำเป็นแผ่นเรียกว่ากระจก นำไปใช้ทำประตู หน้าต่าง ผนังกั้นห้อง ทำเป็นอิฐแก้วก่อผนัง หลังคากระจกใส รวมทั้งประกอบทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เช่น โต๊ะ ตู้ ชั้นวางของและกระจกส่องหน้า ฯลฯ3. ทำเครื่องประดับและของที่ระลึกแก้วทำเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้มากมายจึงสามารถนำมาทำเป็นเครื่องประดับตกแต่ง เช่น รูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ ทำเป็นโคมระย้า พวงกุญแจ และทำเป็นของที่ระลึกต่าง ๆ ฯลฯ4. ทำเป็นเส้นใยแก้วสามารถนำมาทำเป็นเส้นใยเส้นเล็ก ๆ ได้โดยนำไปใช้ในงานทำผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์กลาส ทำไมโครไฟเบอร์สำหรับเป็นฉนวนกันความร้อนทั้งในบ้านและโรงงานอุตสาหกรรม และที่กำลังจะมีการใช้อย่างกว้างขวางในอนาคต คือ ทำเป็นไฟเบอร์ออพติกใช้ในการสื่อสาร เป็นต้น5. ประกอบกับวัสดุอื่นทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆเช่น ใช้ประกอบทำเครื่องใช้ไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า หลอดโทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเสียง เลนส์กล้องถ่ายรูป กระจกรถยนต์ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ นาฬิกา แว่นตา ฯลฯ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

กว่าจะได้... ยางรถยนต์

กระบวนการผลิตยางรถยนต์

ขั้นที่ 1 การผสมวัตถุดิบ (Mixing)

ส่วนผสม

· ยางธรรมชาติ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการผลิตยางรถยนต์ คือ ช่วยทำให้ยางมีความยืดหยุ่นทนต่อแรงกระแทกและแรงดึงได้ดี แต่ยางธรรมชาติมีข้อจำกัด คือ เหมาะที่ใช้ในอุณหภูมิช่วง -40 ถึง 70 องศาเซลเซียส และไม่สามารถทนต่อน้ำมันบางประเภทได้

· ยางสังเคราะห์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง ให้มีคุณสมบัติเหนือยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์สามารถจำแนกออกได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ

กลุ่ม 1 ยางที่มีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดีกว่ายางธรรมชาติ แต่คุณสมบัติทานด้านความเหนียวและความยืดหยุ่นด้อยกว่ายางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์กลุ่มนี้ ได้แก่ SRB (Styrene - Butadiene Rubber), BR (Polybutadiene Rubber)

กลุ่มที่ 2 เป็นยางที่มีคุณสมบัติทนต่อน้ำมัน ทนต่อความร้อนและโอโซน ยางสังเคราะห์ในกลุ่มนี้ เช่น CR (Chloroprene Neoprebe Rubber), NBR (Acrylomitrile Butadiene (uilites) Rubber )

· ผงเขม่าดำ (Carbon Black) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากน้ำมันดิบ คุณสมบัติช่วยให้ยางแข็งตัว เพื่อเพิ่มความทนทานของยาง และทนต่อรอยขีดขวนต่าง ๆ

· สารเคมีต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ในการผสมยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์ และผงเขม่าดำ เพื่อเร่งปฏิกิริยาในการผลิต และเตรียมเป็น Compound Rubber ที่พร้อมนำไปขึ้นรูป สารเคมีที่ใช้แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ

1. สารที่ทำให้ยางคงรูป (Vulcanizing Agent) ใส่เพื่อให้สถานะของยางอยู่สถานะยืดหยุ่นได้ กลุ่มนี้ได้แก่ กำมะถัน

2. สารป้องกันบางเสื่อมสภาพ (Protective Agent) สารกลุ่มที่ได้แก่ สารโอโซน

3. สารช่วยในกระบวนการผลิต เช่น น้ำมัน ช่วยให้ยางที่ทำการผสมมีคุณสมบัตินิ่มนวล

4. สารอื่น ๆ เช่น สารที่ทำให้ยางฟู หรือใส่ให้ยางมีสีต่าง ๆ

ขั้นที่ 2 การทำลวดขอบยาง (Bundling), การฉาบยาง (Coating) การขึ้นรูปขอบลวด(Foaming)
วิธีการคือ นำเส้นลวดมาทำเป็นขอบยางรถยนต์ คือ การดึงเส้นลวดมาในสายการผลิต แล้วทำการฉาบด้วยยาง จากนั้นนำไปขึ้นรูปขอบลวด
เส้นลวดที่ใช้ในการผลิตแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1. เส้นลวดประเภท Bead Wire สำหรับทำขอบยาง

2. เส้นลวดประเภท Steel Cord เป็นเส้นลวดใยเหล็กที่ใช้กับยาง Radial

หมายเหตุ เมื่อผ่านขั้นตอนที่ 2 แล้วจะได้ขอบลวดออกมา (Bead Rings)


ขั้นที่ 3 การทำโครงผ้าใบและการฉาบยางกับผ้าใบเมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้วนำแผ่นยางไปตัด ก็จะได้ โครงผ้าใบและเข็มขัดรัดหน้ายางเส้นลวด


ขั้นที่ 4 การทำเส้นลวดเหล็กและการฉาบยางกับเส้นลวด
เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้วจะได้เข็มขัดรัดหน้ายาง


ขั้นที่ 5 การดันเนื้อยางเพื่อขึ้นรูปแก้มยางและหน้ายาง
เครื่องจักรสำหรับขึ้นรูปยาง เป็นการนำเอายางที่ผสมแล้ว มาขึ้นรูปเป็นลักษณะของชิ้นส่วนต่าง ๆ โดยอาจนำปัจจัยการผลิตอื่น ๆ เช่น ผ้าใบ เข้ามาเป็นส่วนประกอบ 1 เครื่องจักรที่ใช้ในการขึ้นรูปยาง มี 2 ลักษณะคือ

1. เครื่องจักรประเภท (Extrusion) เป็นเครื่องจักรที่ใช้ขึ้นรูปยาง โดยอาศัยแรงดันจากการหมุนของสกรูดันยางผสมผ่านแม่พิมพ์ออกมา Extrusion ใช้ในการขึ้นรูปยางในส่วนของโครงยางและขอบยาง

2. เครื่องจักรประเภท (Calendar) เป็นเครื่องจักรที่ขึ้นรูปยางโดยลักษณะการรีดยาง โดยลักษณะการรีดยางผสมที่เคลือบหรือฉาบกับวัสดุอื่น ๆ ให้เป็นแผ่นที่มีความหนา โดยอาศัยการรีดผ่านลูกกลิ้งจำนวน 2 ลูกในเครื่องจักร ใช้สำหรับขึ้นรูปในส่วนของชั้นผ้าใบ และเข็มขัดรัดหน้ายางในกรณีที่เป็นยางเรเดียล


ขั้นที่ 6 การประกอบโครงยาง
เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว จะได้โครงยางสำเร็จรูป (Green Tire)


ขั้นที่ 7 การอบยาง (Curing Machine)
เครื่องอบยาง (Curing Press) เป็นเครื่องจักรที่ทำหน้าที่อัดลายดอกยางลงบนโครงยางสำเร็จรูป เครื่องจักรมีลักษณะเป็นฝาครอบเปิด-ปิด ได้ ภายในมีแม่พิมพ์ของลายดอกยางและช่องผ่านไอความร้อน เพื่ออัดลายดอกยางและอบให้ยางสุก


ขั้นที่ 8 ตัดเนื้อยางส่วนที่เกิน (Trimming)


ขั้นที่ 9 ตรวจสอบความสมดุลของยาง


ขั้นที่ 10 ได้ยางที่มีคุณภาพตามลักษณะการใช้งาน

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

มือถือแหล่มได้ใจ 13,900 บาท






ระบบ Quadband (GSM 850/900/1800/1900 MHz)- UMTS 900/2100 MHz, HSDPA 7.2 Mbps, HSUPA 384 Kpbs
จอสัมผัส TFT-LCD 65,536 สี - 480 x 800 พิกเซล (3.5")- ระบบหมุนภาพอัตโนมัติ (Accelerometer)
เสียงเรียกเข้า MP3, Polyphonic- ระบบสั่น (Vibration in Phone)
ระบบปฏิบัติการ Windows Mobile® 6.5.3 Professional- หน่วยประมวลผล Qualcomm® 7227 - 600 MHz
หน่วยความจำ ROM 512 MB - RAM 512 MB (ตัวเครื่อง) - หน่วยความจำ 4 กิ๊กกะไบต์ (ตัวเครื่อง)- การ์ดหน่วยความจำ microSD™ - สูงสุด 32 GB
ระบบเชื่อมต่อและส่งข้อมูล (Connectivity)
ส่งผ่านข้อมูล (Data Transfer)- WiFi 802.11b/g, WLAN (Wireless LAN) - บลูทูธ Bluetooth™ v2.0 , micro-USB v2.0- รองรับชุดหูฟังสเตอริโอ (A2DP Bluetooth™ stereo sound)
ใช้งานอินเตอร์เน็ต xHTML, HTML, WAP 2.0 Browser- รองรับบราวเซอร์ Internet Explorer 6
รับ-ส่งข้อความ (Messaging)- อีเมล์ Email (IMAP4, POP3, SMTP) รองรับ Push e-mail- MMS, SMS, ข้อความแชท (Instant Messaging) ผ่าน 3G-HSPA, EDGE, GPRS
รองรับ จาวาแอปพลิเคชั่น - Java™ MIDP 2.0 + CLDC 1.1
จุดเด่นและคุณสมบัติพิเศษ (Feature)
ระบบดาวเทียม ค้นหาตำแหน่ง (Build-In GPS/A-GPS navigation) - รองรับแผนที่ Garmin - ค้นหาโรงภาพยนตร์ใกล้เคียง พร้อมแจ้งรอบฉาย - จำลองเส้นทอง, เสียงแนะนำการเดินทางภาษาไทย - รายงานสภาพอากาศแต่ละพื้นที่ตามเวลาจริง- เช็คอัตราแลกเปลี่ยน และ สถานะเที่ยวบิน- ระบบนำทางแบบ Turn-by-Turn- การแสดงภาพทางแยกแบบ 3 มิติ (Junction View)- แสดงภาพทางแยก และทางเดินรถ (Lane Guideline)- โหมดไฮเวย์ แสดงป้ายทางออกบนทางด่วน 3 ป้ายล่วงหน้า- ฐานข้อมูล POI (Point of Interest) กว่า 450,000 จุด

กล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซล (Digital Camera)- ปรับภาพอัตโนมัติ (Autofocus)
บันทึกภาพวีดีโอ พร้อมเครื่องเล่น (Video recording & Playback) - ความละเอียด 640 x 480 พิกเซล, 24 เฟรมต่อวินาที- รูปแบบไฟล์วีดีโอ : MPEG4, H.264 และ H.263 (Video format)
เครื่องเล่นวีดีโอ (Video player) - รองรับไฟล์ MPEG4, H.264, H.263, WMV
เครื่องเล่นเพลง (Music player)- รองรับไฟล์ MP3, WMA, 3GP, AAC, AAC+
ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
แฮนด์ฟรีในตัว (Build-In Handsfree)
โปรแกรมติดตั้งมาตรฐานในเครื่อง (Standard applications) - Adobe Reader LE : อ่านไฟล์เอกสาร PDF - Album : อัลบั้มรูปภาพ, สไลด์โชว์- Facebook, YouTube, Twitter, Picasa : เครือข่ายสังคมออนไลน์- Office Mobile : งานเอกสาร Word, Excel, Powerpoint, OneNote- Pictures & Videos : แสดงรูปภาพและวีดีโอ- Windows Live Messenger : สนทนารูปแบบแชท - Windows Marketplace : แหล่งดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น- Microsoft My Phone : ถ่ายโอนข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต- Windows Media Player : เครื่องเล่นเพลง, วีดีโอ, สตรีมมิ่ง
เครื่องคิดเลข, ปฏิทิน, สร้างนัดหมาย, นาฬิกา, สมุดบันทึก
การใช้งานของแบตเตอรี่
แบตเตอรี่มาตรฐาน Li-Ion 1,500 mAh (Standard Battery)
เปิดรอรับสาย 300-600 ชั่วโมง (Standby Time)
สนทนาต่อเนื่อง 240-480 นาที (Talk Time)

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

บัวหิมะ

บัวหิมะ ที่กล่าวถึงกันทั่วไป หมายถึงได้ 3 อย่าง คือ 1. บัวหิมะ ที่เมืองจีนเรียก "จง หัว ฟู เป่า" เป็นผลิตภัณฑ์ครีมจากประเทศจีน โรงงานอยู่ที่ปักกิ่ง อวดสรรพคุณว่าทำให้ผิวพรรณนวลเนียน เปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย ใช้ในลักษณะบำรุง ดูแล และช่วยปรับสภาพผิว มีส่วนผสมต่างๆ หลายตัวที่สกัดจากธรรมชาติ และบางตัวมีราคาค่อนข้างแพง เช่น ผงไข่มุก โสม นิ่วในถุงน้ำดีวัว ชะมดเช็ด ว่านหางจระเข้ การบูร วาสลีน โดยเฉพาะโสม ต้องเป็นโสมป่า ซึ่งผงไข่มุกจะมีสรรพคุณป้องกันแสงแดด โสมช่วยในการหมุนเวียนของเลือดในบริเวณที่ทา ทำให้คืนสภาพผิวได้เร็ว 2. บัวหิมะ ที่หมายถึง บัวหิมะพันปี หรือ บัวหิมะหมื่นปี เป็นต้นพืช ดอกสีขาวโพลน หรือเขียวอ่อน จะงอกงามอยู่ในบริเวณภูเขาสูงที่เย็นจัด หรือที่ราบสูงที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี ในบริเวณที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000-4,000 เมตร เช่น บริเวณเทียนซานในที่ราบสูงซินเกียง (Tianshan of Xinjiang plateau) ซึ่งจะเรียกว่า บัวหิมะซินเกียง (Xinjiang Snow Lotus) นอกจากนี้ก็มีที่ภูเขาคุนลุ้น และเทือกเขาอัลไต
โดยปกติเมล็ดของบัวหิมะเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่เติบโตจนออกดอกได้ และใช้เวลา 3 ปีกว่าจะเก็บเกี่ยว ดอกบัวหิมะบานช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.ของทุกปี ดอกมีรสขมเล็กน้อย นำมาทำเป็นยาด้านต่างๆ เช่น ป้องกันไข้ ขับสารพิษ ลดอาการเจ็บปวดจากสาเหตุการเป็นโรครูมาตอยด์ บำรุงเลือด ฟื้นฟูไต และปรับสมดุลหยิน-หยาง โดยมีผลิตภัณฑ์ทั้งที่เป็นแบบบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือนำไปผสมกับตัวยาอื่นๆ ส่งขายทั่วโลก จีนส่งออกบัวหิมะมากกว่าปีละ 5 ล้านดอก มีบริษัทในซินเกียงทำธุรกิจกว่า 100 แห่ง ทุกแห่งต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาล และเนื่องจากความต้องการสูงมาก แต่ปริมาณบัวหิมะเริ่มน้อยลง รัฐบาลจีนจึงควบคุมการเก็บดอกบัวหิมะอย่างเข้มงวด รวมทั้งหาวิธีอนุรักษ์และขยายพื้นที่การปลูก3. บัวหิมะ ที่หมายถึง คีเฟอร์ (kefir) เป็นคำมาจากภาษาตุรกีหมายถึง "ทำให้รู้สึกดี" คือ จุลินทรีย์ขนาดเล็ก 2 ชนิดประกอบด้วย ยีสต์ Saccharomyces exiguus หรือ S. kefir และแบคทีเรียแลกติก (lactic acid bacteria) ที่อยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน (symbiosis) และยึดเกาะกันด้วยสารที่มีลักษณะเป็นเมือกเหนียวประเภทพอลีแซกคาไรด์จนเกิดการก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างคล้ายดอกกะหล่ำ มีสีขาวจนถึงเหลืองอ่อน ขนาดเท่าผลวอลนัตและเล็กเท่ากับเมล็ดข้าว คีเฟอร์จะมีกลิ่นอ่อนๆ ของยีสต์หรือกลิ่นคล้ายเบียร์การเพาะเลี้ยงในอาหารแต่ละชนิดจะให้คีเฟอร์ที่มีลักษณะและขนาดแตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปนิยมเลี้ยงในน้ำนม ซึ่งอาจเป็นนมวัว นมแพะ นมแกะ หรือนมอูฐ เพราะมีสารอาหารที่เหมาะสมทำให้คีเฟอร์เจริญได้ดี แต่บางครั้งอาจเพาะเลี้ยงในน้ำนมถั่วเหลือง น้ำนมข้าว น้ำกะทิ น้ำผลไม้ หรือน้ำมะพร้าว คีเฟอร์ที่เลี้ยงในน้ำผสมน้ำตาลจะเรียกว่า "คีเฟอร์น้ำ (Water kefir)" ซึ่งจะมีลักษณะใสกว่าคีเฟอร์ที่เลี้ยง

กุนเชียง คือ...

กุนเชียง
กุนเชียง มาจากภาษาจีนแต้จิ๋วว่า กุ๊งเชี้ยง แปลว่า ไส้กรอก. กุนเชียง คือไส้กรอกแบบจีน ซึ่งแบบดั้งเดิมใช้เนื้อหมูติดมันสับหรือบดหยาบ ๆ ปรุงรสเค็มออกหวาน กรอกใส่ลงในไส้หมูที่ล้างสะอาด แล้วอบหรือผึ่งแดดจนแห้ง ปัจจุบันนิยมใช้เนื้อหมูไม่ติดมัน หรือประยุกต์ใช้เนื้อไก่ หรือเนื้อปลาด้วย จึงมี กุนเชียงไร้มัน กุนเชียงไก่ กุนเชียงปลา. เนื่องจากพยางค์แรกของคำว่า กุนเชียง พ้องเสียงกับคำว่า กุน ในคำว่า ปีกุน ซึ่งหมายถึง ปีหมู จึงมีผู้เรียก กุนเชียงไก่ ว่า ไก่เชียง และเรียก กุนเชียงปลา ว่า ปลาเชียง. คำว่า ไก่เชียง และ ปลาเชียง เป็นคำที่คนไทยลากเข้าความเพราะเข้าใจผิดว่า กุน ใน กุนเชียง แปลว่า หมู หรือ เนื้อหมู. ที่จริงคำว่า กุน ใน กุนเชียง ภาษาจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า กุ๊ง แปลว่า กรอก หรือ บรรจุ ไม่ได้แปลว่า หมู

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

จักรพรรดิ์ จีน จิ๋นซี

จักรพรรดิฉินที่ 1 หรือ ฉินชื่อหวง (จีน: 秦始皇; พินอิน: Qín Shǐhuáng; ในภาษาไทยเรียกชื่อโดยทั่วไปตามภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋วว่า "จิ๋นซีฮ่องเต้") มีพระนามเดิมว่า เจิ้ง (政) สันนิษฐานว่าประสูติเมื่อ พฤศจิกายน/ธันวาคม พ.ศ. 283 (260 ปีก่อนคริสตกาล) และสวรรคตเมื่อ กันยายน พ.ศ. 333 (210 ปีก่อนคริสตกาล) ทรงเป็นราชาแห่งแคว้นฉิน (秦王) ตั้งแต่ พ.ศ. 297 (247 ปีก่อนคริสตกาล) ถึง พ.ศ. 322 (221 ปีก่อนคริสตกาล จากการรวมประเทศในสมัยราชวงศ์นี้ ทำให้กลายมาเป็นคำเรียกว่าจีนในภาษาไทย และ china ในภาษาอังกฤษ (มาจากคำว่า chin หรือ qin)
ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพระองค์เป็นบุตรของใครแต่โดยทั่วไปเชื่อว่าเป็นบุตรชายของพ่อค้าคนสำคัญคนหนึ่ง ที่ต่อมาภายหลังได้เป็นเสนาบดีคนสำคัญของแคว้นฉิน ชื่อ หลี่ปู้เหว่ย กับมารดาที่เป็นนางสนมชื่อ เจ้าจี
แคว้นฉินเป็นแคว้นหนึ่งในประเทศจีน สมัยนั้นซึ่งยังมีแว่นแคว้นต่างๆ มากมาย และมีเจ้าผู้ครองแคว้นของตนเอง ต่อมา ฉินอ๋อง (จิ๋นซีฮ่องเต้) ได้ทรงรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้ามาเป็นปึกแผ่น เป็นจักรวรรดิจีน และทรงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ -หวงตี้องค์แรกของจักรวรรดิจีนตั้งแต่ พ.ศ. 323 (221 ปีก่อนคริสตกาล) ถึง พ.ศ. 334 (210 ปีก่อนคริสตกาล) โดยขนานนามพระองค์เองว่า จักรพรรดิองค์แรก (始皇帝, ชื่อหวงตี้) พระองค์เป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์จิ๋น ราชวงศ์ฉินของพระองค์มีอายุเพียง 15 ปี แต่ก็เป็นจุดหักเหสำคัญของประวัติศาสตร์จีน
ในการที่จะรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นได้นั้น จิ๋นซีฮ่องเต้และเสนาบดีของพระองค์ นาม หลี่ซือ ต้องยกกองทัพไปตีแคว้นต่างๆ และทำการปฏิรูปมากมายหลายด้าน ซึ่งรวมทั้งด้านการเมือง ภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาความคิด พระองค์ทรงเผาทำลายหนังสือ และสังหารนักปราชญ์ไปจำนวนมหาศาล เนื่องจากพระองค์ทรงดำริว่าถ้าต่างแคว้นต่างมีวัฒนธรรมความคิดของตนเองแล้ว การที่จะทำให้แผ่นดินเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และพระองค์ทรงริเริ่มสร้างผลงานที่โลกต้องยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งก็คือ กำแพงเมืองจีน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันประเทศจีนจากชนเผ่าทางเหนือ โดยการสร้างครั้งนี้ มีการบันทึกว่ามีประชาชนชาวจีนและเชลยศึกจำนวนมหาศาลต้องสังเวยชีวิตไปในการสร้างกำแพงครั้งนี้ นอกจากนี้ ยังมีสุสานของพระองค์ ซึ่งยังปริศนาให้ชาวโลกรอไขความจริง
แม้ว่าพระองค์จะทรงถูกชาวโลกจดจำว่าเป็นจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมหรือเป็นทรราชย์องค์หนึ่งของโลก แต่ชาวจีนก็ยังคงยกย่องพระองค์ให้เป็นบิดาผู้รวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น ซึ่งเคยแตกกระจายเป็นแว่นแคว้นต่างๆ มานานกว่าสองสหัสวรรษ และการปฏิรูปทั้งหลายของพระองค์ก็ยังคงมีผลกระทบถึงคนปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้กลายมาเป็นวัฒนธรรมสมัยนิยมในปัจจุบันต่าง ๆ มากมาย ทั้งนวนิยาย ละครโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ เช่น เจาะเวลาหาจิ๋นซี นิยายกำลังภายในแฟนตาซีของหวงอี้ หรือภาพยนตร์เรื่อง The Emperor and The Assassin ใน ค.ศ. 1998 ของเฉิน ข่ายเกอ ที่เป็นเรื่องราวของพระองค์กับนักลอบสังหารที่ชื่อ จิงเคอ จากแคว้นเอี้ยน ที่เล่ากันว่ามีโอกาสเข้าประชิดตัวพระองค์มากที่สุดขณะเข้าเฝ้าและพยายามสังหารด้วยมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในแผนที่ แต่ไม่สำเร็จ

จักรพรรดิ์ ยุโรป

อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งมาซิโดเนีย (356-323 ปีก่อนคริสตกาล) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า อเล็กซานเดอร์มหาราช (อังกฤษ: Alexander III of Macedon หรือ Alexander the Great, กรีก: Μέγας Ἀλέξανδρος, Mégas Aléxandros) เป็นกษัตริย์กรีกจากแคว้นมาซิโดเนีย ผู้สร้างชื่อเสียงมากที่สุดของราชวงศ์อาร์กีด เป็นผู้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคโบราณ เกิดที่เมืองเพลลา ตอนเหนือของมาซิโดเนีย เมื่อปีที่ 356 ก่อนคริสตกาล ได้รับการศึกษาตามแบบกรีกดั้งเดิมภายใต้การกำกับดูแลของอริสโตเติล นักปรัชญากรีกผู้มีชื่อเสียง สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจาก ฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย เมื่อปีที่ 336 ก่อนคริสตกาลหลังจากที่พระบิดาถูกลอบสังหาร สิ้นพระชนม์ในอีก 13 ปีต่อมาเมื่อพระชนมายุเพียง 32 พรรษา แม้ว่าราชบัลลังก์และจักรวรรดิของอเล็กซานเดอร์จะอยู่เพียงชั่วครู่ยาม แต่ผลกระทบจากการพิชิตดินแดนของพระองค์ส่งผลสืบเนื่องต่อมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ อเล็กซานเดอร์ถือเป็นหนึ่งในบุรุษผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกยุคโบราณ มีชื่อเสียงเลื่องลือในความสามารถทางการรบ ยุทธวิธี และการเผยแพร่อารยธรรมกรีกไปในดินแดนตะวันออก
พระเจ้าฟิลิปทรงนำแว่นแคว้นกรีกโดยมากบนแผ่นดินใหญ่กรีซให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของมาซิโดเนีย โดยใช้ทั้งกลวิธีทางการทูตและทางทหาร เมื่อฟิลิปสิ้นพระชนม์ อเล็กซานเดอร์จึงได้สืบทอดราชอาณาจักรที่เข้มแข็งและกองทัพที่เปี่ยมประสบการณ์ พระองค์เป็นที่ยอมรับในด้านการรบจากแว่นแคว้นกรีซ และได้เริ่มแผนการขยายอำนาจแผ่อาณาจักรตามที่บิดาเคยริเริ่มไว้ พระองค์ยกทัพรุกรานดินแดนเอเชียไมเนอร์ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเปอร์เซีย และกระทำการรณยุทธ์อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาร่วมสิบปี อเล็กซานเดอร์เอาชนะชาวเปอร์เซียครั้งแล้วครั้งเล่า นำทัพข้ามซีเรีย อียิปต์ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย และแบคเทรีย ทรงโค่นล้มกษัตริย์ดาริอุสที่ 3 แห่งเปอร์เซีย และพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียได้ทั้งหมด1 พระองค์ไล่ตามความปรารถนาที่ต้องการเห็น "จุดสิ้นสุดของโลกและมหาสมุทรใหญ่ที่เบื้องปลาย" จึงยกทัพบุกอินเดีย แต่ต่อมาถูกบีบให้ต้องถอยทัพกลับโดยบรรดาทหารที่กำเริบขึ้นเนื่องจากเบื่อหน่ายการสงคราม
อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ที่เมืองบาบิโลน ในปีที่ 323 ก่อนคริสตกาล ก่อนจะเริ่มแผนการรบต่อเนื่องในการรุกรานคาบสมุทรอาระเบีย ในปีถัดจากการสิ้นพระชนม์ของอเล็กซานเดอร์ เกิดสงครามกลางเมืองทั่วไปจนอาณาจักรของพระองค์แตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เกิดเป็นรัฐใหญ่น้อยมากมายปกครองโดยบรรดาขุนนางชาวมาซิโดเนีย แม้ความเป็นผู้พิชิตของพระองค์จะโดดเด่นอย่างยิ่ง แต่มรดกของอเล็กซานเดอร์ที่ยืนยงต่อมากลับมิใช่ราชบัลลังก์ กลายเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมที่ติดตามมาจากการพิชิตดินแดนเหล่านั้น การก่อร่างสร้างเมืองอาณานิคมกรีกและวัฒนธรรมกรีกที่เผยแพร่ไปในแดนตะวันออกทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมเฮเลนนิสติก ซึ่งยังคงสืบทอดต่อมาในจักรวรรดิไบแซนไทน์กระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 อเล็กซานเดอร์เป็นบุคคลในตำนานในฐานะวีรบุรุษผู้ตามอย่างอคิลลีส มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมปรัมปราทั้งของฝ่ายกรีกและที่ไม่ใช่กรีก เป็นหลักเกณฑ์มาตรฐานซึ่งบรรดานายพลทั้งหลายใช้เปรียบเทียบกับตนเองแม้จนถึงปัจจุบัน โรงเรียนการทหารทั่วโลกยังคงใช้ยุทธวิธีการรบของพระองค์เป็นแบบอย่างในการเรียนการสอน2

[แก้] เชื้อสายและวัยเยาว์
อเล็กซานเดอร์ประสูติเมื่อวันที่ 20 (หรือ 21) กรกฎาคม ปีที่ 356 ก่อนคริสตกาล,[1][2] ที่เมืองเพลลา เมืองหลวงของราชอาณาจักรมาซิดอน เป็นโอรสของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 มารดาเป็นภริยาคนที่ 4 ของฟิลิปชื่อนางโอลิมเพียส เป็นธิดาของ นีโอโทเลมุสที่ 1 แห่งเอพิรุส นครรัฐกรีกทางเหนือ[3][4][5][6] แม้ฟิลิปจะมีชายาถึง 7-8 คน แต่นางโอลิมเพียสก็ได้เป็นชายาเอกอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ในฐานะที่ทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์อาร์กีด อเล็กซานเดอร์จึงถือว่าสืบเชื้อสายมาจากเฮราคลีสผ่านทางกษัตริย์คารานุสแห่งมาซิดอน4 ส่วนทางฝั่งมารดา เขาถือว่าตนสืบเชื้อสายจากนีโอโทลีมุส บุตรของอคิลลีส5 อเล็กซานเดอร์เป็นญาติห่างๆ ของนายพลพีร์รุสแห่งเอพิรุส ผู้ได้รับยกย่องจากฮันนิบาลว่าเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจที่สุด[7] หรืออันดับที่สอง (รองจากอเล็กซานเดอร์)[8] เท่าที่โลกเคยประสบพบเจอ
ตามบันทึกของพลูตาร์ค นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ในคืนวันก่อนวันวิวาห์ของนางโอลิมเพียสกับฟิลิป โอลิมเพียสฝันว่าท้องของนางถูกสายฟ้าฟาดเกิดเปลวเพลิงแผ่กระจายออกไป "ทั้งกว้างและไกล" ก่อนจะมอดดับไป หลังจากแต่งงานแล้ว ฟิลิปเคยบอกว่า ตนฝันเห็นตัวเองกำลังปิดผนึกครรภ์ของภรรยาด้วยดวงตราที่สลักภาพของสิงโต[3] พลูตาร์คตีความความฝันเหล่านี้ออกมาหลายความหมาย เช่นโอลิมเพียสตั้งครรภ์มาก่อนแล้วก่อนแต่งงาน โดยสังเกตจากการที่ครรภ์ถูกผนึก หรือบิดาของอเล็กซานเดอร์อาจเป็นเทพซูส นักวิจารณ์ในยุคโบราณมีความคิดแตกแยกกันไปว่าโอลิมเพียสประกาศเรื่องเชื้อสายอันศักดิ์สิทธิ์ของอเล็กซานเดอร์ด้วยความทะเยอทะยาน บางคนอ้างว่านางเป็นคนบอกอเล็กซานเดอร์เอง แต่บางคนก็ว่านางไม่สนใจคำแนะนำทำนองนี้เพราะเป็นการไม่เคารพ[3]
ในวันที่อเล็กซานเดอร์เกิด ฟิลิปกำลังเตรียมตัวเข้ายึดเมืองโพทิเดียซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งคาลกิดีกี (Chalkidiki) ในวันเดียวกันนั้น ฟิลิปได้รับข่าวว่านายพลพาร์เมนิออนของพระองค์ได้ชัยชนะเหนือกองทัพผสมระหว่างพวกอิลลีเรียนกับพาอิเนียน และม้าของพระองค์ก็ชนะการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ยังเล่ากันด้วยว่า วันเดียวกันนั้น วิหารแห่งอาร์เทมิสที่เมืองเอเฟซัส อันเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ถูกไฟไหม้ทลายลง เฮเกเซียสแห่งแม็กนีเซียกล่าวว่า ที่วิหารล่มลงเป็นเพราะเทพีอาร์เทมิสเสด็จมาเฝ้ารอการประสูติของอเล็กซานเดอร์[1][5][9]
เมื่อยังเล็ก ผู้เลี้ยงดูอเล็กซานเดอร์คือนางอภิบาล ลาไนกี พี่สาวของเคลอิตุสซึ่งในอนาคตได้เป็นทั้งเพื่อนและแม่ทัพของอเล็กซานเดอร์ ครูในวัยเยาว์ของอเล็กซานเดอร์คือลีโอไนดัสผู้เข้มงวด ซึ่งเป็นญาติทางฝ่ายมารดา และไลซิมาคัส[10][11]
เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 10 ปี พ่อค้าม้าคนหนึ่งจากเมืองเทสสะลีนำม้ามาถวายฟิลิปตัวหนึ่ง โดยเสนอขายเป็นเงิน 13 ทาเลนท์ ม้าตัวนี้ไม่มีใครขี่ได้ ฟิลิปจึงสั่งให้เอาตัวออกไป ทว่าอเล็กซานเดอร์สังเกตได้ว่าม้านี้กลัวเงาของตัวมันเอง จึงขอโอกาสฝึกม้านี้ให้เชื่อง ซึ่งต่อมาเขาสามารถทำได้สำเร็จ ตามบันทึกของพลูตาร์ค ฟิลิปชื่นชมยินดีมากเพราะนี่เป็นสิ่งแสดงถึงความกล้าหาญและความมักใหญ่ใฝ่สูง เขาจูบบุตรชายด้วยน้ำตา และว่า "ลูกข้า เจ้าจะต้องหาอาณาจักรที่ใหญ่พอสำหรับความทะเยอทะยานของเจ้า มาซิดอนเล็กเกินไปสำหรับเจ้าแล้ว" แล้วพระองค์จึงซื้อม้าตัวนั้นให้แก่อเล็กซานเดอร์[12] อเล็กซานเดอร์ตั้งชื่อม้านั้นว่า บูซีฟาลัส หมายถึง "หัววัว" บูซีฟาลัสกลายเป็นสหายคู่หูติดตามอเล็กซานเดอร์ไปตลอดการเดินทางจนถึงอินเดีย เมื่อบูซีฟาลัสตาย (เนื่องจากแก่มาก ตามที่พลูตาร์คบันทึกไว้ มันมีอายุถึง 30 ปี) อเล็กซานเดอร์ได้ตั้งชื่อเมืองแห่งหนึ่งตามชื่อมัน คือเมืองบูซีฟาลา[13][14][15]
[แก้] การศึกษา และชีวิตวัยหนุ่ม
เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 13 ปี ฟิลิปตัดสินพระทัยว่าอเล็กซานเดอร์ควรได้รับการศึกษาขั้นสูงขึ้น จึงเริ่มเสาะหาอาจารย์ดีให้แก่บุตร เขาเปลี่ยนอาจารย์ไปหลายคน เช่น ไอโซเครตีส และ สพีอุสสิปัส ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของเพลโตที่วิทยาลัยแห่งเอเธนส์ ซึ่งขอลาออกเองเพื่อไปรับตำแหน่ง ในที่สุดฟิลิปเสนองานนี้ให้แก่ อริสโตเติล ฟิลิปยกวิหารแห่งนิมฟ์ที่มีซาให้พวกเขาใช้เป็นห้องเรียน ค่าตอบแทนในการสอนหนังสือแก่อเล็กซานเดอร์คือการสร้างเมืองเกิดของอริสโตเติล คือเมืองสตาเกราที่ฟิลิปทำลายราบไปขึ้นใหม่ และให้ฟื้นฟูเมืองนี้โดยการซื้อตัวหรือปลดปล่อยอดีตพลเมืองของเมืองนี้ที่ถูกจับตัวไปเป็นทาส และยกโทษให้แก่พวกที่ถูกเนรเทศไปด้วย[16][17][18][19]
มีซา เป็นเหมือนโรงเรียนประจำสำหรับอเล็กซานเดอร์และบรรดาบุตรขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ของมาซิดอน เช่น ทอเลมี และ แคสแซนเดอร์ นักเรียนที่เรียนพร้อมกับอเล็กซานเดอร์กลายเป็นเพื่อนของเขาและต่อมาได้เป็นแม่ทัพนายทหารประจำตัว มักถูกกล่าวถึงด้วยคำว่า "สหาย" อริสโตเติลสอนอเล็กซานเดอร์กับบรรดาสหายในเรื่องการแพทย์ ปรัชญา ศีลธรรม ศาสนา ตรรกศาสตร์ และศิลปศาสตร์ ด้วยการสอนของอริสโตเติลทำให้อเล็กซานเดอร์เติบโตขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจอย่างสูงในงานเขียนของโฮเมอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง อีเลียด อริสโตเติลมอบงานเขียนฉบับคัดลอกของเรื่องนี้ให้เขาชุดหนึ่ง ซึ่งอเล็กซานเดอร์เอาติดตัวไปด้วยยามที่ออกรบ

พระเจ้าฟิลิปที่ 2 บิดาของอเล็กซานเดอร์
เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 16 ปี การร่ำเรียนกับอริสโตเติลก็ยุติลง พระเจ้าฟิลิปยกทัพไปทำสงครามกับไบแซนเทียมและแต่งตั้งให้อเล็กซานเดอร์รักษาราชการแทนในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ระหว่างที่ฟิลิปไม่อยู่ พวกแมดีในเทรซก็แข็งเมืองต่อต้านการปกครองของมาซิโดเนีย อเล็กซานเดอร์ตอบโต้อย่างฉับพลัน บดขยี้พวกแมดีและขับไล่ออกไปจากเขตแดน แล้วผนวกเมืองนี้เข้ากับอาณาจักรกรีก ตั้งเมืองใหม่ขึ้นให้ชื่อว่า อเล็กซานโดรโพลิส[24][25][26][27]
หลังจากฟิลิปกลับมาจากไบแซนเทียม พระองค์มองกองกำลังเล็กๆ ให้แก่อเล็กซานเดอร์เพื่อไปปราบปรามกบฎทางตอนใต้ของเทรซ มีบันทึกว่าอเล็กซานเดอร์ได้ช่วยชีวิตของบิดาไว้ได้ระหว่างการรบครั้งหนึ่งกับนครรัฐกรีกชื่อเพรินทุส ในขณะเดียวกัน เมืองแอมฟิสซาได้เริ่มการทำลายสถานสักการะเทพอพอลโลใกลักับวิหารแห่งเดลฟี ซึ่งเป็นโอกาสให้ฟิลิปยื่นมือเข้าแทรกแซงกิจการของกรีซ ขณะที่พำนักอยู่ที่เมืองเทรซ ฟิลิปสั่งให้อเล็กซานเดอร์รวบรวมกองทัพสำหรับการรณยุทธ์กับกรีซ เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่านครรัฐกรีกอื่นๆ จะยื่นมือเข้ามายุ่ง อเล็กซานเดอร์จึงแสร้งทำเสมือนว่ากำลังเตรียมการไปโจมตีอิลลีเรียแทน ในระหว่างความยุ่งเหยิงนั้น อิลลีเรียถือโอกาสมารุกรานมาซิโดเนีย แต่อเล็กซานเดอร์ก็สามารถขับไล่ผู้รุกรานไปได้[28]
ปีที่ 338 ก่อนคริสตกาล ฟิลิปยกทัพมาร่วมกับอเล็กซานเดอร์แล้วมุ่งหน้าลงใต้ผ่านเมืองเทอร์โมไพลีซึ่งทำการต่อต้านอย่างโง่ๆ ด้วยกองทหารชาวธีบส์ ทั้งสองบุกยึดเมืองเอลาเทียซึ่งอยู่ห่างจากเอเธนส์และธีบส์เพียงชั่วเดินทัพไม่กี่วัน ขณะเดียวกัน ชาวเอเธนส์ภายใต้การนำของดีมอสเทนีส ลงคะแนนเสียงให้เป็นพันธมิตรกับธีบส์เพื่อทำสงครามร่วมรบกับมาซิโดเนีย ทั้งเอเธนส์และฟิลิปพากันส่งทูตไปเพื่อเอาชนะใจธีบส์ แต่ทางเอเธนส์เป็นฝ่ายประสบความสำเร็จ[29][30][31] ฟิลิปยกทัพไปแอมฟิสซา จับกุมทหารรับจ้างที่ดีมอสเทนีสส่งไป แล้วเมืองนั้นก็ยอมจำนน ฟิลิปกลับมาเมืองเอลาเทียและส่งข้อเสนอสงบศึกครั้งสุดท้ายไปยังเอเธนส์และธีบส์ แต่ทั้งสองเมืองปฏิเสธ[32][33][34]

รูปปั้นอเล็กซานเดอร์ ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งอิสตันบูล
ฟิลิปยกทัพลงใต้ แต่ถูกสกัดเอาไว้บริเวณใกล้เมืองไคโรเนียของโบโอเทีย โดยกองกำลังของเอเธนส์และธีบส์ ระหว่างการสัประยุทธ์แห่งไคโรเนีย ฟิลิปบังคับบัญชากองทัพปีกขวา ส่วนอเล็กซานเดอร์บังคับบัญชากองทัพปีกซ้าย ร่วมกับกลุ่มนายพลซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของฟิลิป ตามแหล่งข้อมูลโบราณ ทั้งสองฟากของกองทัพต้องต่อสู้อย่างหนักเป็นเวลายาวนาน ฟิลิปจงใจสั่งให้กองทัพปีกขวาของตนถอยทัพเพื่อให้ทหารฮอพไลท์ของเอเธนส์ติดตามมา ทำลายแถวทหารของฝ่ายตรงข้าม ส่วนปีกซ้ายนั้นอเล็กซานเดอร์เป็นคนนำหน้าบุกเข้าตีแถวทหารของธีบส์แตกกระจาย โดยมีนายพลของฟิลิปตามมาติดๆ เมื่อสามารถทำลายสามัคคีของกองทัพฝ่ายศัตรูได้แล้ว ฟิลิปสั่งให้กองทหารของตนเดินหน้ากดดันเข้าตีทัพศัตรู ทัพเอเธนส์ถูกตีพ่ายไป เหลือเพียงทัพธีบส์ต่อสู้เพียงลำพัง และถูกบดขยี้ลงอย่างราบคาบ[35]
หลังจากได้ชัยชนะที่ไคโรเนีย ฟิลิปกับอเล็กซานเดอร์เดินทัพต่อไปโดยไม่มีผู้ขัดขวางมุ่งสู่เพโลพอนนีส (Peloponnese) โดยได้รับการต้อนรับจากทุกเมือง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงสปาร์ตา กลับถูกปฏิเสธ ทว่าพวกเขาก็เพียงจากไปเฉยๆ[36] ที่เมืองโครินธ์ ฟิลิปได้ริเริ่ม "พันธมิตรเฮเลนนิก" (Hellenic Alliance) (ซึ่งจำลองมาจากกองทัพพันธมิตรต่อต้านเปอร์เซียในอดีต เมื่อครั้งสงครามเกรโค-เปอร์เซียน) โดยไม่นับรวมสปาร์ตา ฟิลิปได้ชื่อเรียกว่า เฮเกมอน (Hegemon) (ซึ่งมักแปลเป็น "ผู้บัญชาการสูงสุด") ของคณะพันธมิตรนี้ นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่เรียกคณะพันธมิตรนี้ว่า สันนิบาตแห่งโครินธ์ (League of Corinth) ครั้นแล้วฟิลิปประกาศแผนของตนในการทำสงครามต่อต้านอาณาจักรเปอร์เซีย โดยเขาจะเป็นผู้บัญชาการเอง[37][38]
[แก้] การลี้ภัยและหวนกลับคืน
หลังจากกลับมาเมืองเพลลา ฟิลิปตกหลุมรักกับคลีโอพัตรา ยูรีไดส์ แห่งมาซิดอน และต่อมาได้แต่งงานกัน นางเป็นหลานสาวของแอตตาลัส นายพลคนหนึ่งของเขา การแต่งงานครั้งนี้ทำให้สถานะรัชทายาทของอเล็กซานเดอร์ต้องสั่นคลอน เพราะถ้าหากคลีโอพัตรา ยูรีไดส์ให้กำเนิดบุตรชายแก่ฟิลิป เด็กนั้นจะเป็นทายาทที่มีเชื้อสายมาซิดอนโดยตรง ขณะที่อเล็กซานเดอร์เป็นเพียงลูกครึ่งมาซิโดเนีย[39] ในระหว่างงานเลี้ยงฉลองพิธีวิวาห์ แอตตาลัสซึ่งเมามายได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์โดยอธิษฐานต่อเทพเจ้าขอให้การแต่งงานนี้สร้างทายาทอันถูกต้องตามกฎหมายให้แก่ราชบัลลังก์มาซิโดเนีย อเล็กซานเดอร์ตะโกนใส่แอตตาลัสว่า "อย่างนั้นข้าเป็นอะไรเล่า ลูกไม่มีพ่อหรือ?" แล้วขว้างแก้วใส่นายพล ฟิลิปซึ่งก็เมามากเช่นกัน ชักดาบออกมาแล้วเดินไปหาอเล็กซานเดอร์ ก่อนจะหกล้มคว่ำไป อเล็กซานเดอร์จึงว่า "ดูเถอะ ชายผู้เตรียมจะยกทัพจากยุโรปสู่เอเชีย ไม่อาจแม้แต่จะเดินจากเก้าอี้ตัวหนึ่งไปถึงอีกตัวหนึ่ง"[24]
อเล็กซานเดอร์หนีออกจากมาซิดอนโดยพามารดาไปด้วย ต่อมาเขาพานางไปฝากไว้กับน้องชายของนางที่โดโดนา เมืองหลวงของเอพิรุส เขาเดินทางต่อไปถึงอิลลีเรีย โดยขอลี้ภัยอยู่กับกษัตริย์แห่งอิลลีเรียและได้รับการต้อนรับอย่างดีในฐานะแขกของชาวอิลลีเรีย ทั้งที่เมืองนี้เคยพ่ายแพ้เขาในการรบเมื่อหลายปีก่อน อเล็กซานเดอร์หวนกลับมาซิดอนอีกครั้งหลังจากลี้ภัยอยู่ 6 เดือน ด้วยความพยายามช่วยเหลือของสหายของครอบครัวผู้หนึ่ง คือ ดีมาราตุส ชาวโครินธ์ ซึ่งช่วยประนีประนอมให้ทั้งสองฝ่าย[24][40][41]
ปีถัดมา พิโซดารุส เจ้าเมืองเปอร์เซียผู้ปกครองคาเรีย ได้เสนองานวิวาห์ระหว่างบุตรสาวคนโตของตนกับฟิลิป อาร์ริดาอุส ซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดาของอเล็กซานเดอร์ โอลิมเพียสกับเพื่อนอีกหลายคนของอเล็กซานเดอร์เห็นว่าสิ่งนี้แสดงถึงความตั้งใจของฟิลิปที่จะแต่งตั้งให้อาร์ริดาอุสเป็นรัชทายาท อเล็กซานเดอร์ตอบโต้โดยส่งเทสซาลุสแห่งโครินธ์ นักแสดงผู้หนึ่งไปแจ้งแก่พิโซดารุสว่าไม่ควรเสนอให้บุตรสาวของตนแต่งงานกับบุตรชายผู้ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทว่าควรให้แต่งงานกับอเล็กซานเดอร์มากกว่า เมื่อฟิลิปทราบเรื่องนี้ก็ตำหนิดุด่าอเล็กซานเดอร์อย่างรุนแรง แล้วเนรเทศสหายของอเล็กซานเดอร์ 4 คนคือ ฮาร์พาลุส นีอาร์คุส ทอเลมี และเอริไกอุส ทั้งให้ล่ามตรวนเทสซาลุสกลับมาส่งให้ตน[39][42][43]
[แก้] กษัตริย์แห่งมาซิดอน

ภาพโมเสคที่ค้นพบที่ซากเมืองปอมเปอีย์ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์รบ กับ กษัตริย์ดาไรอุสที่ 3 แห่งเปอร์เซีย ณ สมรภูมิกัวกาเมล่า (รูปนี้ถ้าเป็นรูปเต็ม จะมีรูปกษัตริย์ดาไรอุสตกพระทัยจากหอกที่พุ่งใส่ อยู่บนรถม้าอยู่ทางขวามือ โดยรูปนี้แสดงถึงความกล้าหาญของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ และความอ่อนแอของกษัตริย์ดาไรอุส โดยรูปนี้นับเป็นรูปที่มีชื่อเสียงที่สุดของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ด้วย)
[แก้] การขึ้นครองราชย์
ปีที่ 336 ก่อนคริสตกาล ขณะที่ฟิลิปอยู่ที่ Aegae เข้าร่วมในพิธีวิวาห์ระหว่าง คลีโอพัตรา บุตรสาวของตนกับโอลิมเพียส กับอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งเอพิรุส ซึ่งเป็นน้องชายของโอลิมเพียส พระองค์ถูกลอบสังหารโดยนายทหารราชองครักษ์ของพระองค์เอง คือ เพาซานิอัสแห่งโอเรสติส7 ขณะที่เพาซานิอัสพยายามหลบหนี ก็สะดุดล้มและถูกสังหารโดยสหายสองคนของอเล็กซานเดอร์ คือ เพอร์ดิคคัสกับเลออนนาตุส อเล็กซานเดอร์อ้างสิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยการสนับสนุนของกองทัพมาซิโดเนียและขุนนางแห่งมาซิดอนเมื่ออายุได้ 20 ปี[44][45][46]
[แก้] การรวบรวมอำนาจ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้
[แก้] ยุทธการบอลข่าน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้
[แก้] การรบที่กัวกาเมล่า
เมื่อต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 212 พระองค์ยาตราทัพสู่อาณาจักรเปอร์เซีย เพื่อท้ารบกับกษัตริย์ดาไรอุสที่ 3 แห่งเปอร์เซีย ที่เชื่อว่าเป็นผู้จ้างคนลอบสังหารพระเจ้าฟิลิปที่ 2 พระบิดาของพระองค์ ทัพของทั้งคู่เผชิญหน้ากันที่กัวกาเมล่า (อยู่ใกล้กับประเทศอิรักในปัจจุบัน) โดยที่กองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชมีเพียง 20,000 เท่านั้น ขณะที่กองทัพเปอร์เซียมีนับแสน แต่ด้วยความกล้าหาญของทหารมาซิโดเนียทุกคน กับการวางแผนการรบที่ชาญฉลาดอเล็กซานเดอร์มหาราช ทำให้พระองค์ได้รับชัยชนะแม้จะสูญเสียเป็นจำนวนมากก็ตาม ในการรบครั้งนี้นับเป็นการรบที่มีชื่อของอเล็กซานเดอร์มหาราชที่สุด เนื่องจากพระองค์ทรงควบบูซาเฟลัสบุกเดี่ยวฝ่ากองป้องกันของทหารเปอร์เซียขว้างหอกใส่กษัตริย์ดาไรอุส ทำให้กษัตริย์ดาไรอุสตกพระทัย และหลบหนีขึ้นเขาไปในที่สุด ผลจากการรบครั้งนี้ทำให้อเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้าสู่นครเปอร์ซีโปลิส (Persepolis) ศูนย์กลางอาณาจักรเปอร์เซีย และได้เป็นพระราชาแห่งเอเชีย
[แก้] การรบครั้งสุดท้าย
การรบครั้งสุดท้ายที่มีผู้ต่อกรกับอเล็กซานเดอร์มหาราชอย่างจริงจัง เมื่อพระองค์ยกกองทัพเข้ามาทางภาคเหนือของอินเดียในปี พ.ศ. 217 โดยเข้าสู่บริเวณลุ่ม แม่น้ำสินธุ ตีกรุงตักสิลาใน แคว้นคันธาระ แตก แล้วบุกตระลุยลงมาสู่เมืองนิเกีย (Nicaea) แคว้นปัญจาบ ในพระเจ้าโปรัสหรือพระเจ้าพอรุส (Porus) (หากใช้สำเนียงเอเซียจะเรียกว่าพระเจ้าเปารวะ) พระเจ้าเปารวะเป็นผู้เข้มแข็งในการรบ ซึ่งมีพระสมญาว่า "สิงห์แห่งปัญจาบ" ได้รับแจ้งข่าวกับบรรดามหาราชาแห่งอินเดียว่ามีข้าศึกชาวตะวันตกผมบรอนซ์ตาสีฟ้ายกทัพข้ามภูเขาฮินดูกูชเข้ามา ฝ่ายอินเดียระดมกำลังพลทหารราบ 40,000 ทหารม้า 4,000 รถศึกอีก 500 และกองทัพช้างมหึมาจำนวน 500 เชือกรอรับอยู่ กองทัพพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชกับกองทัพฝ่ายอินเดียโดยมีพระเจ้าเปารวะเป็นแม่ทัพได้ปะทะกันที่ฝั่งแม่น้ำวิตัสตะ อันเป็นสาขาของแม่น้ำสินธุ กำลังพลจำนวน 17,000 ในพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ข้ามแม่น้ำสำเร็จโดยอาศัยธรรมชาติช่วย แต่ทหารม้าของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชไม่เคยสู้รบกับช้างจึงบังเกิดความแตกตื่นอลหม่านขึ้น ทหารหอกยาวนับหมื่นของพระองค์ก็ได้พยายามต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ นี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่รบมาเป็นเวลา 15 ปีที่กองทหารหอก (Phalanx) อันมีระเบียบวินัยในพระองค์บาดเจ็บจนบ้าเลือดบุกตะลุยไปทั่ว ทำร้ายไม่ว่าจะเป็นทหารจากฝ่ายใด การรบวันนั้นต้องสิ้นสุดลงด้วยการหย่าศึก เพราะบาดเจ็บล้มตายกับทั้งสองข้าง แต่ถึงอย่างไรพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชก็ยังทรงได้รับชัยชนะอยู่ดี เพราะพระเจ้าเปารวะถูกอาวุธบาดเจ็บสาหัสและถูกนายทหารกรีกจับเป็นเชลยสงคราม เมื่อพระเจ้าเปารวะถูกจับมาเผชิญพระพักตร์กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราชตรัสถามว่า
"พระองค์ต้องการจะให้เราปฏิบัติอย่างไร?" พระเจ้าเปารวะตรัสตอบอย่างองอาจว่า
"ต้องการให้ปฏิบัติเราอย่างกษัตริย์" แทนที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชจะพิโรธกลับตรัสถามต่อไปว่า
"ทรงประสงค์จะขออะไรอีก?" พระเจ้าเปารวะจึงตรัสตอบว่า
"คำว่า "กษัตริย์" นั้นครอบคลุมไปถึงสิ่งทั้งหมดที่เราต้องการขอแล้ว"

ดินแดนภายใต้การยึดครองของอเล็กซานเดอร์
ด้วยความกล้าหาญรักษาขัตติยเกียรติของพระเจ้าเปารวะทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชซึ่งมีพระทัยโปรดคนกล้าหาญ ได้พระราชทานคืนบ้านเมืองให้แล้วแต่งตั้งพระเจ้าเปารวะให้เป็นพระราชาตามเดิม แต่ดำรงในฐานประเทศราช
เสร็จศึกในครั้งนั้นอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้สดับความมั่งคั่งสมบูรณ์ของแคว้นมคธ และได้ตระเตรียมยาตราทัพมาตี แต่ทหารของพระองค์ที่ร่วมศึกกับพระองค์มาตั้งแต่เป็นพระยุพราชเป็นเวลา 15 ปีที่ไม่ได้กลับบ้านกลับเมือง พากันเบื่อหน่ายการรบ โดยให้ความเห็นว่าถ้าตีมคธได้ก็คงตีแคว้นอื่นต่อไปอีกไม่มีกำหนดสิ้นสุด อเล็กซานเดอร์มหาราชจึงต้องจำพระทัยเลิกทัพกลับ ช่วงนิวัตกลับอเล็กซานเดอร์มหาราชแบ่งกองทัพออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้กลับทางบก ส่วนพระองค์นิวัตโดยทางชลมาร์คลงมาตามแม่น้ำสินธุอย่างผู้พิชิตพร้อมด้วยทหารฝ่ายที่เหลือ รวมเวลาที่อเล็กซานเดอร์มหาราชรบอยู่ในอินเดีย 1 ปี กับ 8 เดือน พระองค์ได้เสด็จฯไปยังกรุงบาบิลอนซึ่งเป็นนครเอกของโลกในเวลานั้น
[แก้] ดวงชะตา
ดวงพระชะตาของอเล็กซานเดอร์มหาราชขึ้นอยู่เป็นเวลา 13 ปีที่พระองค์ไม่แพ้ใครเลย จนถึงฤดูใบไม้ร่วงปี พ.ศ. 219 เฮฟาอีสเตียน (Hephaestien) ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีและนายทหารพระสหายสนิทที่ใกล้ชิดพระองค์ที่สุดของพระองค์ตายที่เมืองเอกบาตานา (Ecbatana) อเล็กซานเดอร์มหาราชเศร้าโศกเป็นอย่างมาก และไม่ยอมตั้งใครให้ทำหน้าที่แทนพระสหายรักในพระองค์ ทรงจัดพิธีศพให้ที่กรุงบาบิลอนโดยใช้กองฟืนที่มีราคาแพง ต่อจากนั้นได้รับสั่งให้สร้างสุสานขนาดใหญ่ที่สวยงามเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เฮพาเอสเชียนที่เมืองบาบิโลน สืบเนื่องจากการสูญเสียพระสหาย พระองค์ก็ได้แต่เสวยน้ำจันฑ์ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ณ กรุงบาบิลอน จึ่งเป็นเหตุให้พระองค์ประชวรอยู่ 10 วันก็ได้ แล้วจึงเสด็จฯสู่สวรรคาลัยในวันที่ 10 มิถุนายน ปี พ.ศ. 220 โดยมีพระชนมายุเพียง 33 พระชันษา
[แก้] ความรัก
ในเรื่องของความรักของพระองค์ ผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิครองโลกในสมัยโบราณมาแล้วครึ่งโลก พระองค์เป็นชาวมาเซโดเนียมีพระปรีชาสามารถทางการรบเป็นอย่างสูง กล่าวกันว่าดวงพระชะตาของพระองค์ตั้งแต่ที่ได้ขึ้นครองราชย์มาล้วนไม่เคยแพ้ผู้ใด เว้นเสียแต่ว่าแพ้ใจตนเอง พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับสตรีชาวพื้นเมืองอยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง แต่สาเหตุที่ทำการอภิเษกสมรสนั้นก็ล้วนเกิดจากปัจจัยทางการเมืองเป็นสำคัญ ดังที่คนส่วนใหญ่ทราบกันดี ว่าความสัมพันธ์ของพระองค์ที่ต่อทหารของพระองค์ล้วนลึกซึ่งเกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิท หรือเจ้ากับข้า ครั้งหนึ่งจากความสูญเสียเฮพาเอสเชียนพระองค์ทรงเสียพระทัยจนถึงจะทรงทำอัตวินิบาตกรรม และเสวยน้ำจัณฑ์ติดต่อกันหลายวัน จนแทบไม่พระทัยในพระราชกรณียกิจอื่นใด พลูตาร์กได้บันทึกว่า ในปี พ.ศ. 220 ตรงกับฤดูใบไม้ผลิ เมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชเสด็จฯไปถึงเมืองบาบิโลนเพื่อไปทอดพระเนตรสุสานที่เก็บศพเฮพาเอสเชียนพระสหายสนิท แต่กลับยังสร้างไม่เสร็จ ปรากฏว่าพระองค์ทรงยกเลิกพิธีเคารพศพกลับมาเสวยน้ำจัณฑ์ติดต่อกันเจ็ดวันเจ็ดคืนจนสวรรคต
เรื่องราวความรักของพระองค์นอกเหนือจากนี้เราสามารถหาอ่านได้จากงานเขียนของคาลลิสเธเนส ซึ่งเป็นนามแฝงของหลานชายอริสโตเติล, บันทึกของเอมีร์ คูสเรา, บันทึกของเนคตาเนเบส เป็นต้น