ทางแห่งความเสื่อมประการที่ ๖ นั้นคือ เป็นคนมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่เป็นคนตระหนี่ มีของกินก็กินคนเดียว มีของใช้ก็ใช้คนเดียว ไม่รู้จักการเสียสละ ดวงตระหนี่ครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่รู้จักการให้แบ่งปัน ก็ย่อมจะไม่เป็นที่รักของใครๆ ไม่มีรั้วรอบๆ กายเลย เป็นเหมือนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ยามเมื่อมีลมพัดกระหน่ำ ย่อมจะประสบกับความหายนะได้ง่าย เพราะรอบข้างไม่มีต้นไม้บริวารที่จะช่วยกันต้านแรงลม อยู่อย่างโดดเดี่ยว ย่อมจะอยู่ได้ไม่นาน นี่เป็นความเสื่อมเหมือนกัน
ทางแห่งความเสื่อมประการที่ ๗ คือ เป็นคนที่เย่อหยิ่ง เพราะชาติตระกูล และทรัพย์สมบัติ ทั้งดูหมิ่นญาติของตนเอง ผู้ที่ประพฤติตนเช่นนี้ แสดงว่า เป็นคนที่หลงตนเอง จนทำให้เป็นผู้ที่ขาดความเคารพ ไม่รู้จักควรไม่ควร จะทำให้ชีวิตผิดพลาดตกลงไปในหนทางแห่งความเสื่อมได้ง่าย
ประการที่ ๘ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้คือ คนเป็นนักเที่ยวผู้หญิง นักดื่มสุรา นักเล่นการพนัน ผลาญทรัพย์สมบัติให้หมดสิ้นไปถ่ายเดียว การทำเช่นนี้ทำให้เป็นผู้ที่ไม่รู้จักการใช้จ่ายทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองทั้งในภพนี้ และภพหน้า การใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์นั้น เมื่อใช้ไปแล้ว จะต้องเกิดเป็นบุญกุศลเป็นการเปลี่ยนโลกียทรัพย์ให้เป็นอริยทรัพย์ ทำได้อย่างนี้จึงชื่อว่าเป็นผู้ใช้ทรัพย์เป็น ส่วนใครที่นำทรัพย์ตนเองไปทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดบาปอกุศล การทำเช่นนั้นย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ สุขใดๆ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม
ทางแห่งความเสื่อมประการที่ ๙ คือ คนไม่พอใจเฉพาะภรรยาของตนเอง ชอบคบชู้ภรรยาของคนอื่น หรือฝ่ายหญิง ก็ไม่เคารพสามีเสมือนเทวดา เป็นคนไม่รู้จักพอ ก่อให้เกิดภัย ทั้งทางร่างกาย และสังคมรอบด้าน ก่อให้เกิดความหวาดระแวง ระหองระแหง ระหว่างครอบครัวและสังคม นี่เป็นทางแห่งความเสื่อมของชีวิตอีกทางหนึ่ง
ประการที่ ๑๐ คือ การที่ชายแก่ได้หญิงสาวเป็นภรรยา ต้องเสียเวลาติดตามดูความประพฤติของนาง ห่วงภรรยาจนนอนไม่หลับ เมื่อเป็นอย่างนี้ทำให้สุขภาพทรุดโทรมเพราะกังวลมากเกินไป ก็เป็นทางแห่งความเสื่อม
ประการที่ ๑๑ คือการแต่งตั้งชายหรือหญิงผู้เป็นนักเลงโต ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เมื่อได้ตำแหน่งที่สำคัญๆ ในการบริหาร ก็เอาอำนาจมาข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชา นี่เป็นประการที่สำคัญ เมื่อคนดีมีอำนาจ คนพาลจะถูกข่ม เมื่อคนพาลมีอำนาจ คนดีก็จะถูกข่ม ไม่กล้าสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้สังคม อำนาจถ้าอยู่ในมือของคนพาล ก็จะนำความเดือดร้อนมาสู่สังคม และประเทศชาติได้ ดังนั้นขอให้ตระหนักถึงความสำคัญในข้อนี้ให้ดี
ทางแห่งความเสื่อมประการสุดท้าย ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ คือ ผู้เกิดในสกุลกษัตริย์มีโภคสมบัติน้อย แต่มีความมักใหญ่ใฝ่สูง ปรารถนาจะเป็นพระราชา ก็เป็นทางแห่งความเสื่อมได้เช่นกัน เพราะความเป็นพระราชานั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่ายๆ แต่เกิดขึ้นมาด้วยอานุภาพของบุญที่สั่งสมไว้ดีแล้วเท่านั้น
ทางแห่งความเสื่อมทั้ง ๑๒ อย่าง ที่พระพุทธองค์ตรัสสอนนี้ ผู้เจริญย่อมไม่ประพฤติ หรือดำเนินชีวิตบนหนทางอย่างนั้น แต่จะทำแต่สิ่งที่เป็นบุญบารมี เป็นคุณงามความดี อันจะเป็นประโยชน์สุขต่อตนเองทั้งในภพนี้ และภพหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น