วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งต่อมลูกหมาก






ต่อมลูกหมากเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย อยู่ติดกับกระเพาะปัสสาวะ
และล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น ต่อมลูกหมากมีลักษณะคล้ายลูกเกาลัดขนาดใหญ่ มีหน้าที่สำคัญในการผลิตน้ำหล่อลื่นและหล่อเลี้ยงตัวอสุจิ แต่ต่อมนี้ไม่ได้เป็นตัวสร้างอสุจิเอง






สาเหตุ :

มะเร็งต่อมลูกหมากเกิดในผู้ชายสูงอายุ ในประเทศไทยอายุที่พบบ่อยคือมากกว่า 60 ปี มี
รายงานอุบัติการณ์ในผู้ชายอายุ 40 ถึง 60 ปีไม่มากนัก สาเหตุของมะเร็งต่อมลูกหมากที่แท้จริงยัง
ไม่มีใครทราบ หลายคนเชื่อว่าฮอร์โมนเพศชายจะเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เซลล์มะเร็งของต่อม
ลูกหมากมีการเจริญเติบโตมากขึ้น เนื่องจากโรคนี้พบมากที่สุดในชาวตะวันตก เชื่อกันว่าอาหารอาจ
มีส่วนให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ด้วยโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง นอกจากนั้นสาเหตุของมะเร็ง
ต่อมลูกหมากยังเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์อีกด้วย ในประเทศไทยมะเร็งต่อมลูกหมากพบมากเป็นอันดับ
ที่ 5 ของมะเร็งในเพศชาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาพบแพทย์ในระยะลุกลามซึ่งทำให้การรักษาไม่
สามารถทำให้หายขาดได้

อาการแสดง :

อาการของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งของต่อมลูกหมาก แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

1. กลุ่มที่ไม่มีอาการใด ๆ ผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆที่เกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมากเลย ตรวจพบ
จากการตรวจร่างกายประจำปี ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักวินิจฉัยโรคได้ในระยะเริ่มต้น เมื่อได้รับการรักษาแล้ว
จะสามารถหายขาดจากโรคได้

2. กลุ่มที่มีอาการเกี่ยวข้องกับโรคต่อมลูกหมากโต ผู้ป่วยมักมีอาการปัสสาวะที่ผิดปกติ
ทำให้มาพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เมื่อผ่านการตรวจอย่างละเอียดอาจพบว่าเกิดจากมะเร็งต่อม
ลูกหมากผู้ป่วย บางรายอาจได้รับการผ่าตัดต่อมลูกหมากทางท่อปัสสาวะ เพื่อแก้ไขภาวะต่อม
ลูกหมากโต และพบมะเร็งจากการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา



3. กลุ่มที่มีอาการของมะเร็งโดยทั่วไป ได้แก่อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อยตาม
ร่างกาย และกระดูก อาการเหล่านี้เป็นผลจากการลุกลามของมะเร็ง ผู้ป่วยในระยะนี้ไม่สามารถรักษาให้
หายขาดได้ แต่การรักษาจะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นและอาจป้องกันการลุกลามของมะเร็งได้


การวินิจฉัยโรค :

เนื่องจากมะเร็งในระยะเริ่มต้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ การตรวจเพื่อให้ได้ผลในระยะ
เริ่มต้นจึงมีความสำคัญ โดยทั่วไปแล้วผู้ชายที่มี อายุ 50 ปีขึ้นไป ถึงแม้จะไม่มีอาการผิดปกติของ
ทางเดินปัสสาวะใดๆควรจะไปรับการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากจากแพทย์ และหากมีประวัติญาติ
ใกล้ชิดเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรจะมารับการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากทุกปี ตั้งแต่อายุ 40 ขึ้นไป

การตรวจค้นหามะเร็งต่อมลูกหมากประกอบด้วย การตรวจ
ทางทวารหนัก และ การเจาะเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง คือ พี
เอส เอ ( PSA) เมื่อได้ค่าพื้นฐานเหล่านี้แล้ว แพทย์จะแปลผลและ
สามารถระบุได้ว่าผู้ป่วยรายใดมีความเสี่ยงของมะเร็ง ซึ่งจะต้องตรวจ
ด้วยการตัดชิ้นเนื้อในขั้นตอนต่อไป
การรักษา :

การเลือกวิธีการรักษาขึ้นกับผลการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ระยะของโรค อายุของผู้ป่วย
รวมทั้งการประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย


การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรก

ผู้ป่วยระยะนี้ ยังไม่มีการกระจายของมะเร็งไปนอกต่อมลูกหมาก อาจทำการรักษาได้ 2 วิธี คือ

1. การผ่าตัดต่อมลูกหมากออกทั้งหมด ( Radical Prostatectomy )

เป็นการผ่าตัดใหญ่เพื่อเอาต่อมลูกหมากที่เป็นมะเร็งรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมดเป็น
วิธีการที่สามารถทำให้หายจากโรคได้ ผู้ป่วยที่ผ่าตัดได้สำเร็จจะมีพยากรณ์โรคดีมาก มะเร็งในระยะที่ 1
จะมีอัตราการรอดชีวิตใน 10 ปีสูงถึงร้อยละ 80 ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง โดย
ทั่วไปไม่นิยมผ่าตัดในผู้ป่วยอายุมากกว่า 70 ปี ผลข้างเคียงที่อาจพบหลังผ่าตัด ได้แก่ การสูญเสีย
สมรรถภาพทางเพศ ท่อปัสสาวะตีบ และปัสสาวะเล็ด เป็นต้น

2. การฝังรังสี ( Brachytherapy)


เป็นการรักษาแบบใหม่ โดยการฝังแท่งรังสีขนาดเล็กมากเข้าไปที่ต่อมลูกหมากผ่านผิวหนัง
บริเวณฝีเย็บ เป็นการรักษารูปแบบใหม่มีใช้จำกัดในโรงพยาบาลบางแห่ง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษา
สูงมาก มีข้อดีคือ อาจลดอุบัติการณ์ของการสูญเสียสมรรถภาพทางเพศหลังการรักษาได้

3. การผ่าตัดโดยใช้กล้อง ( Laparoscopic radical Prostatectomy)


เหมือนการผ่าตัดแบบ radical prostatectomy แต่ใช้กล้องแทน ได้ผลดีไม่แตกต่างกัน

สาเหตุ ที่จะเป็นมะเร็ง

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ
1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง ส่วนใหญ่ เกิดจากสาเหตุได้แก่

1.1 สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อราที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า
1.2 รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดด
1.3 เชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา
1.4 การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ
1.5 จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น

2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความพิการ มาแต่ กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะ ทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่า มะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น มะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถ ป้องกัน ได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมี ความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิดมะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณ ที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ ทราบว่า ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป กรณีที่เป็น มะเร็ง ได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นี้แหละ.... ชีวิต

เช้า ทำงาน
เย็น รถติด เหนียวตัว เหนื่อย
ดึก ทำงานบ้าน
เสาร์-อาทิตย์ นอน
เฮ้อ...
วัฏจักร ก็แค่นี้
55555++++

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

Steroid

สเตอรอยด์ (อังกฤษ: steroid) เป็นลิพิดที่มีคุณสมบัติพิเศษ โดยที่โครงสร้างคาร์บอนจะเป็นวงแหวน 4 วงเชื่อมต่อกัน ความแตกต่างของชนิดสเตอรอยด์จะผันแปรไปตามฟังก์ชันนัลกรุป (functional group) ที่ติดอยู่กับวงแหวนเหล่านี้ มีสเตอรอยด์แตกต่างกันเป็นร้อยชนิดที่สามารถตรวจพบในพืชและสัตว์ ตัวอย่างบทบาทสำคัญของสเตอรอยด์ในระบบชีวิตส่วนใหญ่คือ การเป็นฮอร์โมน


ในสรีรวิทยาและการแพทย์ของมนุษย์ สารสเตอรอยด์ที่สำคัญส่วนใหญ่ คือ คอเลสเตอรอล, สเตอรอยด์, ฮอร์โมน และสารตั้งต้น (precursor) และ เมแทบอไลต์ คอเลสเตอรอลเป็นสารประกอบประเภท สเตอรอยด์แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ เซลล์ เมมเบรน ในสัตว์ แต่อย่างไรก็ดีถ้ามันมีปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดโรค และภาวะผิดปกติมากมาย เช่น ภาวะผนังเส้นโลหิตแดงหนาและมีความยึดหยุ่นน้อยลง (atherosclerosis) สเตอรอยด์อื่นส่วนใหญ่ถูกสังเคราะห์จาก คอเลสเตอรอลฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมนเพศ ของ สัตว์มีกระดูกสันหลัง (vertebrate) ก็เป็นสเตอรอยด์ที่สร้างจากคอเลสเตอรอล
สเตอรอยด์แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
แอแนบอลิก สเตอรอยด์ (Anabolic steroid) - นักกีฬา เพื่อเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
คอร์ติโคสเตอรอยด์ (Corticosteroid) - มีผลต่อ เมตาโบลิซึม และการกำจัด อิเล็กโตรไลต์
ฮอร์โมนเพศ - แอนโดรเจน เอสโตรเจน และ โปรเจสตาเจน
โปรฮอร์โมน (Prohormone) - เป็นสารตั้งต้นของของสเตอรอยด์ ฮอร์โมน
ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol) - เป็นสเตอรอยด์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพืช
สเตอรอยด์ฮอร์โมน ทำให้เกิดผลทางสรีรวิทยา โดยการเชื่อมกับสเตอรอยด์ฮอร์โมนรีเซพเตอร์ โปรตีนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยีนทรานสคริปชั่น และการทำงานของเซลล์

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

หมูหยอง

ส่วนผสม

1. หมูเนื้อแดง 1 กก.
2. น้ำตาลทราย 200 กรัม
3. เกลือ 5 กรัม
4. ซีอิ้วขาว(soy sauce) 70 กรัม
5. ซีอิ้วดำ พอประมาณ

วิธีทำ
1. นำเนื้อหมูมาหั่นตามความยาวของเส้นใยกล้ามเนื้อ เป็นชิ้นขนาดยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร

2.นำไปต้มโดยใส่น้ำให้ท่วม ต้มจนเปื่อย นำขึ้นมาเลาะมันและเอ็นออกให้หมดฉีกหรือใส่ครกตำ แล้วนำไปคลุกกับเกลือ น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ ถ้าแห้งมากน้ำตาลทรายไม่ละลาย ตักน้ำที่ได้จากการต้มหมูลงคลุกเคล้าเล็กน้อย จนกระทั่งน้ำตาลทรายละลายหมด หมักทิ้งไว้ 10 นาที

3.นำไปผัดในกระทะใช้ไฟอ่อนในตอนแรก และใช้ไฟแรงในตอนหลังเพื่อให้กรอบ การผัดไม่ควรยีมากเพราะจะทำให้หมูหยองป่น ใช้เวลาผัดประมาณ 2 1/2 – 3 ชั่วโมง

กาแฟ้ กาแฟ

กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดซึ่งได้จากต้นกาแฟ หรือมักเรียกว่า เมล็ดกาแฟ คั่ว มีการปลูกต้นกาแฟในมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก กาแฟเขียว (กาแฟซึ่งยังไม่ผ่านการคั่ว) เป็นหนึ่งในสินค้าทางการเกษตรซึ่งมีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก[1] กาแฟมีส่วนประกอบของคาเฟอีน ทำให้มันมีสรรพคุณชูกำลังในมนุษย์ ปัจจุบัน กาแฟเป็นเครื่องดื่มซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก[2]
เป็นที่เชื่อกันว่าสรรพคุณชูกำลังจากเมล็ดของต้นกาแฟนั้นถูกพบเป็นครั้งแรกในเยเมน แถบอาระเบีย และทางตะวันออกเฉียงเหนือของเอธิโอเปีย และการปลูกต้นกาแฟในสมัยแรกได้แพร่ขยายในโลกอาหรับ[3] หลักฐานบันทึกว่าการดื่มกาแฟได้ปรากฎขึ้นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 อันเป็นหลักฐานซึ่งเชื่อถือได้และเก่าแก่ที่สุด ถูกพบในวิหารซูฟี ในเยเมน แถบอาระเบีย[3] จากโลกมุสลิม กาแฟได้แพร่ขยายไปยังทวีปยุโรป อินโดนีเซีย และทวีปอเมริกา[4] ในระหว่างที่กาแฟเริ่มเดินทางจากทวีปอเมริกาเหนือและตะวันออกกลางสู่ทวีปยุโรป กาแฟได้ถูกส่งผ่านไปยังซิซิลีและอิตาลีในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากนั้นผ่านตุรกีไปยังกรีซ ฮังการี และออสเตรียในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากอิตาลีและออสเตรีย กาแฟได้แพร่ขยายไปยังส่วนที่เหลือของทวีปยุโรป กาแฟได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในสังคมหลายแห่งตลอดประวัติศาสตร์ ในแอฟริกาและเยเมน มันถูกใช้ร่วมกับพิธีกรรมทางศาสนา ผลที่ตามมาคือ ศาสนจักรเอธิโอเปีย ได้สั่งห้ามการบริโภคกาแฟตลอดกาล จนกระทั่งถึงรัชสมัยของจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2[5] มันยังได้ถูกห้ามในจักรวรรดิออตโตมันระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17 เนื่องจากสาเหตุทางการเมือง[6] และมีส่วนเกี่ยวพันกับกิจกรรมทางการเมืองหัวรุนแรงในทวีปยุโรป
ผลกาแฟ ซึ่งบรรจุเมล็ดกาแฟ เป็นผลผลิตจากไม้พุ่มไม่ผลัดใบขนาดเล็กในจีนัส Coffea หลายสปีชีส์ โดยสายพันธุ์ที่มีการปลูกโดยทั่วไปมากที่สุด ได้แก่ Coffea arabica และรูปแบบ "โรบัสต้า" ซึ่งมีรสเข้มกว่าของ Coffea canephora ซึ่งสายพันธุ์ดังกล่าวมีความทนทานต่อราสนิมใบกาแฟ (Hemileia vastatrix) ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง สายพันธุ์กาแฟทั้งคู่มีการปลูกในละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปแอฟริกา เมื่อสุกแล้ว ผลดังกล่าวจะถูกเก็บรวบรวม นำไปผ่านกรรมวิธีและทำให้แห้ง หลังจากนั้น เมล็ดจะถูกคั่วในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรสชาติที่ต้องการ และจะถูกบดและบ่มเพื่อผลิตกาแฟ กาแฟสามารถตระเตรียมและนำเสนอได้ในหลายวิธี

ไก่ทอด ปาปริก้า น่าลอง แต่ หาซื้อได้ยากอะ

ไก่ทอดปาปริก้า มีกลิ่นหอม กรอบนอก นุ่มใน ไม่เลี่ยน รสชาติกลมกล่อมลงตัว
บางครั้งของใกล้ตัวที่ดูธรรมดา ก็อาจจะสามารถสร้างอาชีพได้ และหากรู้จักนำมาพลิกแพลงดัดแปลงให้มีจุดเด่น ก็อาจจะเป็นอาชีพที่ทำเงินได้อย่างน่าชื่นใจ อย่าง ไก่ทอด อาหารที่นิยมทานกันทุกภาค มีคนทำขายทั่วไป ถ้ามีทำเลเหมาะสม และมีสูตรใหม่ ๆ แปลก ๆ ก็สามารถจะเป็น ช่องทางทำกิน ที่ดีได้
ชัยวัฒน์ บงกชเกตุสกุล หรือ แชมป์ อายุ 27 ปี เป็นเจ้าของธุรกิจ ไก่ทอดปาปริก้า เจ้าตัวเล่าให้ฟังถึงที่มาของธุรกิจนี้ว่า ครอบครัวทำธุรกิจขายอาหารมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่ หลังเรียนจบสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ก็รับช่วงทำธุรกิจอาหารต่อจากคุณพ่อ ซึ่งเป็นธุรกิจเฉาก๊วยโบราณ โดยนำความรู้ที่เรียนมาปรับปรุงพัฒนาสินค้าให้มีเอกลักษณ์เฉพาะและมีจุดขาย ที่น่าสนใจ ต่อยอดเป็นธุรกิจเฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ แล้วเพิ่มเติมตามด้วยข้าวเกรียบกุ้ง ลูกชิ้นปลาทอด แกงไตปลาแห้ง และไก่ทอดปาปริก้า
เพราะครอบครัวทำธุรกิจอาหาร ทำให้ผมชีวิตคลุกคลีอยู่กับอาหารมาตั้งแต่เล็กจนโต ปลูกฝังนิสัยให้เป็นคนชอบกินและชอบคิดทำอาหารต่าง ๆ ออกมาเรื่อยๆ อย่างผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือ ไก่ทอดปาปริก้า ที่ทำก็เพราะเท่าที่สำรวจดูคนไทยชอบกินไก่ทอด เพราะเป็นอาหารที่กินง่าย จะเห็นได้ว่าที่ไหน ๆ ก็มีขาย แต่จะขายดีหรือเปล่านั้นก็แล้วแต่รสชาติแต่ละเจ้า จึงตัดสินใจซื้อสูตรไก่ทอดมา นำมาปรับปรุงเพิ่มเติมให้เป็นรสชาติเฉพาะของผมเอง คือไก่ทอดปาปริก้า มีกลิ่นหอม กรอบนอก นุ่มใน ไม่เลี่ยน รสชาติกลมกล่อมลงตัว
การทำอาชีพนี้ อุปกรณ์หลัก ๆ ก็มี… เตาแก๊ส, กระทะใบบัว, ตะหลิว, ตะแกรง, กะละมัง, ถาดสแตนเลสขนาดใหญ่, ตาชั่งขนาดเล็ก, ช้อนตวง และเครื่องครัวอื่น ๆ
ส่วนวัตถุดิบ ตามสูตรก็คือ… ไก่ (ปีกกลาง) 10 กิโลกรัม ต่อผงปรุงรส 100 กรัม, พริกไทยดำป่น 100 กรัม, เกลือ 150 กรัม, ซอสปรุงรส, แป้งข้าวโพด, น้ำมันปาล์ม, ใบเตย, น้ำสะอาด และขาดไม่ได้คือ ผงปาปริก้า
ขั้นตอนการทำไก่ทอดปาปริก้าเริ่มจากนำไก่ปีกกลางที่เตรียมไว้มาล้างให้สะอาด ตั้งพักให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไก่ที่ได้มาทำการ นวดให้ทั่วทุกปีก ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นเคล็ดลับที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เนื้อไก่มีความนุ่มละมุนลิ้น อร่อยยิ่งขึ้น ปีกไก่ที่นวดแล้วนำมาผ่าตามแนวกระดูก ตั้งพักไว้ในกะละมังสักครู่
ต่อไปเป็นขั้นตอนผสมเครื่องปรุง โดยนำเอาผงปรุงรส, ซอสปรุงรส, ผงปาปริก้า และพริกไทยดำป่น มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็นำเอาปีกไก่ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปผสมกับเครื่องปรุง เคล้าให้ปีกไก่กับเครื่องปรุงเข้ากันให้ทั่ว แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้เครื่องปรุงเข้าถึงเนื้อไก่
หมักตามเวลาแล้วก็นำแป้งข้าวโพดมารโรยใส่ในปีกไก่หมักพอประมาณ ถ้าข้นก็ให้เติมน้ำสะอาดเล็กน้อย ทำการคลุกเคล้ากันให้ทั่วอีกครั้ง จากนั้นก็เตรียมทอดได้เลย
ขั้นตอนการทอด
นำกระทะตั้งไฟ ใส่นำมันมาก ๆ รอให้น้ำมันร้อนจัดจึงค่อยนำไก่ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปทอด การใส่ไก่ตอนน้ำมันร้อนจัดก็เพื่อไม่ให้เนื้อไก่ติดกระทะเวลาทอด ใช้ตะหลิวคนและทำการกลับไก่ 3-4 ครั้ง ให้สุกทั่ว ใส่ใบเตยที่ตัดขนาด 1 นิ้วใส่ตามลงไป เพื่อให้ปีกไก่มีกลิ่นหอมและมีสีสันน่ากินยิ่งขึ้น ทอดให้สุกเหลือง จึงค่อยตักขึ้นมาซับน้ำมัน ก็พร้อมรับประทาน พร้อมจำหน่ายได้เลย
แชมป์บอกว่า ปีกไก่ 1 กิโลกรัม เวลาทอดแล้วไก่จะมีน้ำหนักเหลือประมาณ 6 ขีด
สำหรับราคาขายคือ ขีดละ 35 บาท (3 ขีด 100 บาท จะทำให้ขายง่ายขึ้น )
ใครที่กำลังมองหาอาชีพขายอาหารที่ลงทุนน้อย ก็ลองขาย ไก่ทอด ดู ส่วนใครสนใจ ไก่ทอดปาปริก้า เจ้านี้เขาขายอยู่แถวดอนเมือง ร้านอยู่ข้างตึกเจ้เล้ง ซึ่งคุณแชมป์ยังรับออกบูธ งานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ และยังมีโครงการขยายสาขาเพิ่มเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ ใครต้องการติดต่อก็ โทร.08-4770-0599, 08-9078-6565

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ง่าย ๆ ถ้าคุณทำได้...

เคล็ดลับหน้าใส ใครๆก็ต้องการทรายกันทั้งนั้น จริงมั้ยคะ? วันนี้โบว์มี 8 เคล็ดลับวิธีทำหน้าใสได้อย่างใจคิดมาฝากกันค่ะ

ข้อแรกนะคะ ถ้าเป็นคนที่ชอบแต่งหน้า เราก็ควรที่จะรู้จักวิธีเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าของเราอย่างถูกวิธี เพื่อผิวหน้าของเราจะได้สะอาด หน้าใสไร้สิวนะจ๊ะ

2. ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี เพื่อผิวสวยหน้าใส โดยเลือกสบู่ล้างหน้าให้เหมาะกับผิวของตนเองนะคะ อย่างเช่น ถ้าเป็นคนผิวมัน ก็ควรเลือกใช้สบู่แบบออยล์คอนโทรล เป็นต้นค่ะ และไม่ควรหน้าล้างเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นได้นะคะ

3. ก่อนล้างหน้าควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเป็นการเปิดรูขุมขน หลังจากนั้นใช้สบู่ล้างหน้าและล้างฟองออกด้วยน้ำเย็น เพื่อปิดรูขุมขนค่ะ ซับหน้าด้วยผ้าขนหนูเบาๆและใช้สำลีชุบโทนเนอร์เช็ดหน้าอีกครั้งค่ะ เพื่อกระชับรูขุมขน

4. หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง ควรทาครีมบำรุงผิว เพื่อทดแทนความชุ่มชื่นที่เสียไปจากการล้างหน้า เพื่อป้องกันริ้วรอยและรอยหมองคล้ำต่างๆก่อนวัยอันควรจ๊ะ

5. หาเวลาว่าง พอกหน้าและขัดหน้าสัปดาห์ละ1ครั้งนะค่ะ เพื่อเป็นการทำความสะอาดผิวหน้าที่ลึกซึ้งมากกว่าการล้างหน้าตามปกติ บำรุงผิวไปในตัว และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นค่ะ เพื่อผิวพรรณที่สวย หน้าใสเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดีคะ

6. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าและดื่มน้ำสะอาด ให้มากๆค่ะ อย่างเช่น ผักสดและผลไม้สดค่ะ ดีต่อผิวของเรานะจ๊ะ

7. ออกกำลังเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินเพื่อช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และหน้าใสมีเลือดฝาดค่ะ

8. ยิ้มร่าเริงแจ่มใส ทำใจให้สดชื่น เพราะจิตใจมีผลควบคู่ไปกับร่างกาย ผิวพรรณและสุขภาพที่ดีนะคะ

ผลไม้ ลดความอ้วน

การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน

แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก" กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก? จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

H

วิตามินเอช (BIOTIN)
ไบโอติน หรือ vitamin H จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามิน บี จำเป็นสำหรับขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย เช่น การเติมคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่สารประกอบ หรือเอาคาร์บอนไดออกไซต์ออกจากสารประกอบ จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์เอนไซม์ในร่างกาย ช่วยบำรุงผิวหนัง ผม กล้ามเนื้อ และประสาท อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิรต์ ผักต่างๆโดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท แต่ก็ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละ วัน วิตามินนี้จะถูกสังเคราะห์โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ ไบโอตินเป็นกรดที่มีกำมะถันอยู่ด้วยในโมเลกุล ผลึกของ ไบโอตินเป็นรูปเข็มยาว ในธรรมชาติมักเกิดรวมอยู่กับกรดอะมิโนไลซีน ระดับของไบโอตินในเซรุ่มของคนปกติอยู่ระหว่าง 213-404 นาโนกรัม/มล. สาเหตุหนึ่งที่ร่างกายอาจขาดไบโอตินได้ก็คือ การรับประทานไข่ขาวดิบในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานๆ ทั้งนี้เพราะในไข่ขาวมีสารที่จะทำลายไบโอติน เมื่อร่างกายเกิดอาการขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคผิวหนัง ผิวหนังมีสีเทา อ่อนเพลีย โลหิตจาง มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ
* ข้อมูลทั่วไป o วิตามิน H หรือไบโอติน จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งสามารถละลายน้ำได้ วิตามินตัวนี้จะพบได้ในทุกเซลล์ในร่างกาย แต่พบว่ามีปริมาณน้อย โดยพบว่าพบมากที่ตับและไต ของร่างกาย ร่างกายสามารถสร้างได้เอง โดยแบคทีเรียจากลำไส้ o คุณสมบัติ เป็นผลึกรูปเข็ม ไม่มีสี ทนต่อความร้อน แสงสว่าง กรดและด่าง ละลายได้ดีในน้ำร้อนและแอลกอฮอล์ * ประโยชน์ต่อร่างกาย o ทำ หน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในขบวนการต่างๆของร่างการ เช่น กระบวนการเผาพลาญของร่างกาย ขบวนการสร้างกรดไขมัน พิวรีน เป็นตัวส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยผลิตฮอร์โมนเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ และอินซูลิน อีกทั้งยังรักษาสุขภาพของผิวหนัง ผม ต่อม เหงื่อ และกระดูกอ่อนอีกด้วย * แหล่งที่พบ o จะ พบทั่วไปในแหล่งอาหารธรรมชาติ แต่พบมากในเครื่องในสัตว์ เช่น ตับหมู ไตหมู รวมทั้งพวก เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวโพด ข้าวกล้อง ไข่แดง ถั่ว ยีสต์ ผักเช่น ดอกกะหล่ำปลี แครอท และพบในผลไม้ได้บ้าง

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ลดต้นขา ง่าย น่าลอง มั้ง ?

1. นอนหงายกับพื้น หาหมอนรองก้นไว้กันเจ็บ
2. ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที
3. ยังยกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง
4. ปั่นจักรยานกลางอากาศประมาณ 100 ครั้ง
5. เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง

ใครที่ีต้นขาใหญ่ ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ลองทำตามคำแนะนำดูนะคะ (แรกๆอาจจะเมื่อยหน่อย แต่ทำบ่อยๆ ก็จะหายเองค่ะ)