วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตับ ตับ มาดูแลตับกัน

สำหรับผู้ห่วงใยในสุขภาพที่ดีของตับในร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอและการนอนหลับที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าหากคุณยังมีปัญหาในการนอนหลับ พิษและของเสียที่อยู่ในร่างกายย่อมจะสะสมและเป็นปัญหาต่อสุขภาพและอารมณ์ของคุณเอง

สาเหตุหลักที่ทำลายตับของคุณคือ
1. การนอนดึกและตื่นสายเป็นสาเหตุลำดับต้น ๆ
2. การไม่ปัสสาวะในตอนเช้า
3. ทานจุเป็นประจำ
4. ไม่รับประทานอาหารเช้า
5. บริโภคยามากเกินไป
6. บริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย สีผสมอาหาร วัตถุปรุงแต่ง และน้ำตาลเทียม
7. บริโภคน้ำมันที่ใช้ทำอาหารซึ่งด้อยคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์ ถ้าหากคุณสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันในการทอดอาหาร ซึ่งรวมถึงการใช้น้ำมันที่ดีที่สุดที่ใช้ทำอาหาร เช่น น้ำมันมะกอก จงหลีกเลี่ยงการบริโภคของทอด เมื่อคุณมีอาการเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย ยกเว้นถ้าหากร่างกายคุณฟิต
8. บริโภคอาหารที่ผ่านการปรุงมากเกินไปย่อมสร้างภาระแก่ตับ

ผักควรทานสด ๆ หรือผ่านการทำให้สุก เพียง 3-5 ส่วน ผักที่ผ่านการผัดควรจะบริโภคให้หมดในมื้อเดียว อย่าเก็บไว้ทาน ในมื้ออื่น ๆ ถั่วต่าง ๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง เช่น ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ฯลฯ มีประโยชน์ต่อลำไส้ คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบคทีเรีย ชนิดไม่ดีออกจากลำไส้เรา ควรกินอาทิตย์ละครั้งเป็นอย่างน้อย พืชผักสีเขียวมีคลอโรฟิว ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยง ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี เซลล์แต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อมีออกซิเจน ไปหล่อเลี้ยง ก่อนเอาผักมากิน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ อย่าลืมแช่ ผักด้วยน้ำส้มสายชู 45 นาที

เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ยแน่นอน ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสม แต่ถ้าต้องนอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบ ทำรายงาน ขนงานมาทำ หรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้ :

1. งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก แต่ถ้าหากเราอยากกินเนื้อสัตว์ก็ควรช่วยลำไส้ย่อยด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียดก็ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้

2. ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้ เหมือนกัน

3. เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้าหรือใส่ถุงเท้าด้วยก็จะดี

4. ที่จริงมื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า

5. ควรเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายเราต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้ การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพิ่มกรดให้ร่างกาย แถมมีน้ำตาลที่สะสมตามร่างกายอีก อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วนะ น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสียออกจากร่างกาย อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาด

เราจะต้องพยายามปรับวิถีการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะนิสัยการกิน การปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีและดูแลปัจจัยเรื่องเวลา เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ร่างกายของเราได้รับประโยชน์และสามารถกำจัดสารที่ไม่เป็นประโยชน์ในร่างกายตามตารางเวลาที่ควรจะเป็นเพราะ

1. ช่วงเวลากลางคืน 3 ทุ่ม - 5 ทุ่ม : เป็นระยะเวลาที่ร่างกายจะกำจัดสารพิษต่าง ๆ โดยระบบต่อต้านเชื้อโรคในร่างกาย (ระบบหมุนเวียนของน้ำเหลืองในร่างกาย) ช่วงเวลานี้ควรจะต้องถูกใช้ไปในการพักผ่อน หรือผ่อนคลายด้วยการฟังดนตรี ถ้าหากช่วงเวลานี้แม่บ้านยังคงวุ่นอยู่กับงานบ้าน เช่น ล้างจาน หรือดูแลเด็ก ให้ทำการบ้าน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลลบต่อร่างกาย

2. ช่วงเวลากลางคืน 5 ทุ่ม - ตี 1 : กระบวนการกำจัดสารพิษในตับและแน่นอน ควรจะต้องอยู่ในช่วงการนอนหลับสนิท ในช่วงเช้าระหว่างเวลาตี 1 ถึง ตี 3 นั้น กระบวนการกำจัดสารพิษในน้ำดี ก็ควรจะเป็นช่วงแห่งการนอนหลับสนิทเช่นกัน

3. ช่วงเวลาตี 1 - ตี 3 : การกำจัดสารพิษในปอด เพราะฉะนั้นอาจจะมีอาการไออย่างรุนแรง สำหรับผู้ที่มีปัญหาการไอในช่วงเวลาดังกล่าว ตอนนี้กระบวนการกำจัดสารพิษจะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจแล้ว และก็ไม่จำเป็นที่คุณจะใช้ยาแก้ไอ เพื่อที่จะได้ไม่ไปขัดขวางขั้นตอนการกำจัดสารพิษในร่างกาย ห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด เนื่องจากถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน ถ้าอดนอนเวลานี้บ่อย ๆ จะทำให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี

4. ช่วงเช้า ตี 5 - 7 โมงเช้า : การกำจัดสารพิษในปลายลำไส้ใหญ่ ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำให้พุงและลำไส้ของคุณว่างลง

5. ช่วงเช้า 7 - 9 โมงเช้า : การดูดซึมสารอาหารสู่ลำไส้เล็ก คุณควรจะต้องทานอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ อาหารเช้าควรจะก่อนเวลา 6.30 น. สำหรับผู้ป่วย อาหารเช้าที่ทานก่อน 7.30 น. นั้นดีต่อผู้ที่ต้องการมีร่างกายสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา 7.00 น - 9.00 น. เนื่องจากกระเพาะเรามีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุด ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร ผู้ใดที่ไม่ทานอาหารเช้าตลอดเวลา ควรจะต้องรีบเปลี่ยนพฤติกรรมนี้เสีย และการทานอาหารเช้าในช่วงสายตั้งแต่ 9 - 10 น. ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรลงไปในท้องเลย

แต่ห้ามกินนมในตอนเช้าแทนข้าวเช้า เนื่องจากตอนเช้านั้น กระเพาะจะเป็นกรดสูงมาก นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลายเป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อยนะ ยิ่งถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า ระวังจะเป็นมะเร็งในไขกระดูก แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหารเช้าหรือตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็นก็ดื่มได้ตามปกติ มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่าย ๆ อย่างนมกับไข่ก็ไม่ว่ากัน

การนอนดึกตื่นสายนั้นเป็นปัญหาต่อกระบวนการทำลายของเสียในร่างกาย นอกจากนั้นช่วงเที่ยงคืนถึงตี 4 ก็ยังเป็นเวลาที่ร่างกายผลิตเลือด เพราะฉะนั้น


"อย่านอนดึกและอย่านอนตื่นสาย"
ขอให้ถนอมสุขภาพร่างกายของเราให้ดีกันทุกคนนะจ๊ะ

ไต อิไต มาดูแลไตกันเถอะ

"ไต" ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของร่างกายเรา ไตมีหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและขับออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ อีกทั้งยังเป็นตัวรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย หากไตเสื่อมสภาพลงก็จะทำให้เกิดเป็นโรคไตวาย หรือโรคไตเรื้อรัง ซึ่งการรักษาก็คือจะต้องฟอกไต หรือเปลี่ยนถ่ายไต ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว

วันนี้ "108 เคล็ดกิน" มีวิธีดูแลไตง่ายๆ ด้วยการกินอาหารมาฝากกัน เพราะหากเรากินอาหารที่เหมาะสมอย่างพอเพียงก็จะช่วยไม่ให้ไตทำงานหนักจนเกินไป และช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้ โดยหากใครไม่อยากให้ไตเสื่อมเร็วนั้นก็ควรลดอาหารประเภทโปรตีน หรือลดการกินเนื้อสัตว์ ลง โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่มีไขมันมาก เช่น เครื่องในสัตว์ หนังหมู หนังไก่ หมูสามชั้น รวมทั้งงดอาหารที่มีรสเค็ม เลี่ยงไขมันจากสัตว์ รวมไปถึงไขมันพืชเช่นกะทิด้วย นอกจากนั้นยังต้องควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป เพราะน้ำหนักที่มากจะเป็นบ่อเกิดของโรคอีกหลายอย่างเช่น ความดันโลหิต เบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคไตได้ด้วยเช่นกัน

ear ear

เวลาที่คุยโทรศัพท์นาน ๆ แล้วเคยสังเกตหรือไม่ว่าเกิดอะไรผิดปกติบ้าง เพราะสมัยนี้การคุยโทรศัพท์นาน ๆ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับวัยรุ่นยุคนี้ไปเสียแล้ว โดยที่ไม่เคยคำนึงว่าการบริโภคการสื่อสารมากเกินไป นอกจากจะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมอันเคยชิน และบางทียังส่งผลต่อสุขลักษณะอนามัยด้วย โดยส่วนมากจะมีอาการร้อนหู หรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหูเลยทีเดียว...

สาเหตุ ของอาการนั้น มาจากการคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน ซึ่งเมื่อเกิดอาการแล้ว ตัวเรายังคงแคะ หรือเกาก็จะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่าง ๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย อาจทำให้เกิดเนื้องอกขึ้นมาได้ในที่สุด

วิธีป้องกัน ก็ง่ายมาก โดยหันมาใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เนื่องจากจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ จากนั้นให้นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค

ทั้งนี้ ยังมีเหตุจากหูฟังด้วย จากการใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แล้วถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจนผิดคลื่นตลอดเวลา ก็แสดงว่าเริ่มมีอาการประสาทรับเสียงเสื่อม


นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้อีกด้วย ทางที่ดีควรเปิดเพลงในเครื่องเล่น ด้วยระดับความดังแค่ครึ่งเดียว ไม่ควรเปิดดังจนเกินไป และควรเลือกสถานที่ รวมทั้งเวลาในการฟังเพลงให้เหมาะสม เพื่อให้หูได้หยุดพักบ้าง และเหนือสิ่งอื่นใด ควรหลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ทั้งยังต้องหมั่นดูแลทำความสะอาดหูฟังอยู่เป็นประจำอีกด้วย

อย่าง ไรก็ตาม เราควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป และดูแลสุขลักษณะให้ดีเป็นพิเศษ เพื่อปิดกั้นช่องทางของโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ และเพื่อสุขภาพที่ดีของเราตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อยากขาว ต้อง "กลูต้าไธโอน"

โดย : นายแพทย์ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต

กลูต้าไธโอนเป็นพันธะเปปไทด์ของกรดอะมิโน 3 ตัว ได้แก่ ซีสเตอีน กลูตาเมต และไกลซีน กลูต้าไธโอนอยู่ในรูป reduced (GSH) และ oxidized (GSSG) โดย GSSG ถูก reduced ด้วย Glutathione reductase สาร ascorbic acid จะเพิ่มการออกฤทธิ์ของ GSH ซึ่ง alpha lipoic acid (ALA) เพิ่มการออกฤทธิ์ของกลูต้าไธโอนอาจกลับมาเป็น GSSG

ลักษณะของกลูต้าไธโอน
กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์พบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ตับ (จนถึง 5 mM)
กลูต้าไธโอนถูกสังเคราะห์โดย Glutathione synthase โดยการใช้กรดอะมิโน 3 ชนิด : L-cysteine, L-glutamate และ glycine
ตามธรรมชาติมี 2 รูปแบบ ได้แก่ reduced Glutathione (GSH) และ oxidized Glutathione disulphide (GSSG)
อำนวยความสะดวกต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน
เป็นสาร mitochondrial antioxidant
เป็นสาร co-factor/ เอนไซม์ใน phase I enzymatic detoxification pathway
Phase II detoxification pathway
การป้องกันระบบประสาท
การลดลงของกลูต้าไธโอน
แสดงให้เห็นเด่นชัดอย่างเฉียบพลันในการขาดกลูต้าไธโอนเมื่อรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด
ผลของการลดลงของกลูต้าไธโอนนี้เกิดใน hepatocyte ชักนำให้ตับวายและเสียชีวิตได้
การขาดกลูต้าไธโอนเรื้อรังมีความสัมพันธ์กับความผิดปกติทางภูมิคุ้มกัน เพิ่มการเกิดเนื้อร้าย และในกรณีโรคเอดส์ อาจเร่งให้เกิดโรคขึ้นมาได้
การขาดกลูต้าไธโอนเป็นผลใน tissue oxidative stress สามารถเกิดโรคได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่เป็น G6PD (glucose 6-phosphate dehydrogenase deficiency) ทำให้เกิดปริมาณ NADPH และ reduced Glutathione ลดลง
Oxidative stress เป็นสาเหตุให้ขาดกลูต้าไธโอนใน fragile erythrocyte membranes

ข้อบ่งใช้และการใช้ประโยชน์

รักษาพิษจากยาพาราเซตามอล
ใช้เบื้องต้นสำหรับ : มะเร็งบางชนิด โรคไขมันอุดตันที่ผนังหลอดเลือด (atherosclerosis) โรคเบาหวาน ปอดมีความผิดปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคปอดอุดกั้น สูญเสียการได้ยินเนื่องมาจากเสียง ผู้ชายที่เป็นหมัน
ป้องกันหรือทำให้พิษดีขึ้น ต้านเชื้อไวรัส ยากำพร้าในการรักษาเอดส์ที่สัมพันธ์กับภาวะขาดสารอาหาร


ผลข้างเคียง
ผิวหนังแดง
ความดันโลหิตต่ำ
หอบหืดเฉียบพลัน
อาจเกิด anaphylactic reaction จากการปนเปื้อนหรือความไม่บริสุทธิ์


ข้อห้ามและควรระวังเป็นพิเศษ
ผู้ที่แพ้ยาฉีดกลูต้าไธโอน
ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ
แพ้, หอบหืด


สารที่ทำให้ขาดกลูต้าไธโอน
การสูบบุหรี่
ดื่มแอลกอฮอล์
คาเฟอีน
ยาพาราเซตามอล
ยา
ออกกำลังกายหนัก
รังสี X Y และยูวี
Xenobiotics
Estradiol

อยากสวย อยากหล่อ ใช้คอลลาเจน

คอลลาเจนคือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ชั้นหนังแท้ โปรตีนแห่งความงามที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนสำคัญของผิวหนัง เพราะเป็นส่วนสปริงของผิวหนัง ในการสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ หากอยากลองสัมผัสความตึงของคอลลาเจนโปรตีน ลองจับแก้มเด็กตัวเล็ก ๆ ดู จะสัมผัสได้ทันที ถึงความใส ตึง ที่ผิวแก้ม หรือ ดูเด็กวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาว จะเห็นว่าผิวพรรณตึงเปรี๊ยะทีเดียว ปัจจุบันนี้จะมีการพูดถึง คอลลาเจน กันอย่างกว้างขวางในวงการเครื่องสำอาง และ ความงาม เป็นภาษากรีกคอลลาเจน เป็นภาษากรีก แปลว่า กาว ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมเซลล์แต่ล่ะเซลล์เข้าด้วยกัน คอลลาเจนโปรตีนมีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย คอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา จะอยู่ในผิวหนังชั้นหนังแท้

คอลลาเจนทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรง และเรียบเนียน และอยู่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ "อิลาสติน" ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงสร้างของผิว และทำให้ผิวเต่งตึง อิลาสตินจะมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว และทำให้ผิวไม่มีริ้วรอยน่าเสียดายที่ภายหลังอายุ 20 ปี คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง ทำให้ชั้นผิวหนังมีการยุบตัวลง ต้นเหตุของความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณ ริ้วรอยแรกจะเป็นรอยตีนกา เพราะผิวหนังรอบดวงตา มีความบอบบางมาก อีกทั้งกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เป็นกล้ามเนื้อวงกลม ไม่มีอะไรยึด ผิวรอบดวงตาก็เลยจะเหี่ยวง่ายกว่าที่อื่น การรับประทานคอลลาเจนโปรตีน จะช่วยชะลอความเหี่ยวตรงนี้ และลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วได้

คอลลาเจนมีคุณสมบัติ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับไม่หย่อนยาน ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น อีกทั้งยังบำรุงเล็บ และเส้นผมให้มีสุขภาพดีอีกด้วย

การเสริมสร้างคอลลาเจนด้วยการรับประทานมีการนำสารสกัดโปรตีนจากปลาทะเลบางประเภท ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้างของคอลลาเจนของผิวคน โดยวิธีการ (Enzymatic Hydrolysis) ,มาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วพบว่าภายหลังการรับประทานไประยะหนึ่ง จะสามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ จางหาย การนำสารสกัดโปรตีนคอลลาเจน เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิว และลดริ้วรอยนั้น ปกติทำได้ 2 วิธีคือ โดยการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ โดนการฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ วิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีการที่สะดวกกว่า ผลที่ได้รับจากการบริโภคคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังอย่างได้ผล และทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มเนียนขึ้น

คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มาก ดังนั้นคอลลาเจนไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ส่วนครีมต่าง ๆ ที่มีขายตามท้องตลาด ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ก็จะเป็นการผลักคอลลาเจนให้อยู่ได้แค่ชั้นหนังกำพร้า แต่เนื่องจากคอลลาเจนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักตัวมัน ทำให้ผิวหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้น แต่ไม่สามรถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างแท้จริง เพราะการเสริมสร้างคอลลาเจน จะต้องเข้าสู่ด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และการรับประทานเท่านั้น

การใช้คอลลาเจนระยะเวลาเห็นผล 30 - 60 วัน
ริ้วรอยตื้นขึ้น 50%
ผิวที่หย่อนยานกระชับขึ้น 60%
ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น 45%
ผม และ เล็บ แข็งแรง และ หนาขึ้น

เขียว ๆ คลอโรฟิลล์

คลอโรฟิลล์คืออะไร

ถ้าคุณเอาใบไม้มาตำๆแล้วคั้นน้ำออกมาไปตรวจในห้องทดลอง คุณจะพบสารมีสีที่ชื่อว่าคลอโรฟิลล์ เป็นชื่อของกลุ่มของสารที่มีสีในตัวที่พบได้ในพืชทั่วๆไป การที่มันมีสีในตัวเองจึงมีหน้าที่ดักจับพลังงานแสงที่สาดส่องมาเพื่อใช้ในขบวนการสังเคราะห์แสงซึ่งเกิดขึ้นในในชั้น Chloroplasts ของใบพืช สารนี้ไม่จำเป็นต้องมีสีเขียวแต่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเราจะพบมันได้ในพืชระดับชั้นต่ำเช่นในสาหร่ายแต่จะมีสีแตกต่างกันไป ที่เรียกว่าพืชชันต่ำก็เพราะว่ามันเป็นพืชที่มีองคาพยพแค่ใบ ในขณะที่พืชชั้นสูงจะมีวิวัฒนาการโดยใบจะมีการกลายไปเป็นดอกหรือ ผล เพื่อทำหน้าที่เฉพาะได้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้นเราจึงสามารถแบ่งออกเจ้าสารมีสีนี้ออกเป็น 4 กลุ่มได้แก่
1. คลอโรฟิลล์ a มีสีเขียวแกมน้ำเงิน พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดที่สังเคราะห์แสงได้
2. คลอโรฟิลล์ b มีสีเขียวแกมเหลือง พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดและสาหร่ายสีเขียว
3. คลอโรฟิลล์ c พบในสาหร่ายสีน้ำตาลและสาหร่ายสีทอง แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง
4. คลอโรฟิลล์ d พบในสาหร่ายสีแดง แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง


หน้าที่ของคลอโรฟิลล์คือต้านอนุมูลอิสระ

จากการวิจัยเราพบว่าสารนี้มีฤทธิ์ต้านทานสารก่อกลายพันธุ์ที่ยังไม่ทราบกลไกอย่างแจ้งชัด อาจเป็นผลมาจากตัวมันเองทำหน้าที่เป็นตัวกำจัดอนุมูลอิสระ การทำงานของสารนี้ในชั้น Chloroplasts นั้นโมเลกุลของคลอโรฟิลล์จะทำงานได้เมื่อมันอยู่ในสภาพไม่ละลายในน้ำเท่านั้น ทำไมจึงนำเอาคลอโรฟิลล์มาใช้ก็มีบุคคลากรทางสาธารณสุขบางท่านก็อนุมานว่าคลอโรฟิลล์สามารถทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระได้ดังกล่าว จึงมีแนวคิดในการนำสารนี้มาเป็นสารอาหารเพื่อวางจำหน่าย โดยในหลากหลายผลิตภัณท์เสริมอาหารที่นำมาวางขายกันอยู่ จะเป็นคลอโรฟิลล์ที่ผ่านการสังเคราะห์มาแล้ว ให้มีโครงสร้างคล้ายๆกับคลอโรฟิลล์ในธรรมชาติและละลายในน้ำได้ดี วัตถุประสงค์จริงๆของสารนี้ในตอนต้นก็เพื่อนำมาเป็นสีเขียวในสีผสมอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น ขอย้ำว่าคลอโรฟิลล์ที่ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระได้ในชั้นของใบพืชนั้น เมื่อมันอยู่ในสภาพไม่ละลายในน้ำเท่านั้น


แหล่งของคลอโรฟิลล์ในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ผักที่มีสีเขียว ถ้าคุณชอบกินผัก ผลไม้สดเป็นประจำอยู่แล้วคุณก็ได้รับคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติที่ดีที่สุดอยู่แล้ว


อันตรายของคลอโรฟิลล์ที่มากเกินไป

อย.สหรัฐได้กำหนดความปลอดภัยในการนำสารนี้มาเป็นสีผสมอาหารในผู้ใหญ่ไม่ควรเกินวันละ 300 มิลลิกรัมต่อวัน และในเด็กไม่ควรเกิน 90 มิลลิกรัมต่อวัน ก่อนกินสารนี้คุณควรตรวจว่าคุณมีอาการแพ้หรือไม่ เพราะจะทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ เวียนศีรษะ เหงื่อออกมากจนหมดสติไปได้ในที่สุด หากคุณกินมากเกินไป จะมีผลทำให้อึหรือฉี่ออกมาเป็นสีเขียวได้ ถ้าเป็นมากๆอาจทำให้ท้องเสียได้

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สัปปะรด Pineapple

ดีดแล้วดม :

เคล็ดไม่ลับซื้อสับปะรดถ้าใครที่นาน ๆ จะซื้อสับปะรดมาปอกรับประทานเองสักที อาจจะมีปัญหาว่าเลือกอย่างไรถึงจะได้สับปะรดเนื้อดี หวานฉ่ำ ดีดแล้วดมสิคะ ดีดถ้าเสียงแปะ ๆ ละก็ใช้ได้ ถ้าเป็นเสียงโป๊ก ๆ ละก็อย่าซื้อมาเชียว ถ้าจะซื้อแล้วปอกรับประทานวันนั้นเลยก็เลือกที่ดมแล้วมีกลิ่นหอมสับปะรดออกมา ถ้าจะเก็บไว้ทานวันหน้า ก็เลือกที่หอมน้อยหน่อย


ที่มา www.thaifooddb.com

สตรอว์เบอร์รี่ strawberry

วิธีที่ง่ายสุดๆ ก็คือลองดมดู สตอรว์เบอร์รี่รสดีมักจะมีกลิ่นหอมหวาน และแน่นตึง ยิ่งผลไหนที่สีแดงสดใส บีบแล้วแข็งแน่น นั่นเลย ใช่แล้วล่ะ นี่เลยที่น้องๆ ตามหา

แปลกอยู่อย่างหนึ่ง สตอรว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ไม่มีการสุกเพิ่ม แบบว่าน้องๆ เห็นสภาพมันยังไง มันก็คงสภาพอย่างนั้นนั่นล่ะ ไม่เปลี่ยนไป ถ้าเห็นมันแดง มันก็แดง เห็นมันเขียว ก็เขียว เห็นขาว ก็ขาว และผลที่เขียวๆ ขาวๆ นี่ล่ะ จะมีรสเปรี้ยวจี๊ดเลยล่ะ ใครชอบรสเปรี้ยว ก็เลือกแบบนี้ได้เลย รับรองได้เปรี้ยวสมใจแน่นอน

ส้ม orange

มารู้จัก ส้ม และวิธีการเลือกซื้อส้ม ผลไม้ที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินซีกัน
ส้ม ผลไม้ประจำบ้านที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินซี ส้มก็เป็นผลไม้อีกชนิดที่มีพันธุ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด และมีพัฒนาการที่ทันสมัยต่างจากเมื่อก่อนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ จากผลไม้ที่ปลูกในสวนของชาวบ้าน มีส้มเขียวหวานเป็นหลักก็กลายเป็นส้มรุ่นใหม่ๆ ที่ปลูกในสวนส้มขนาดใหญ่ มีระบบการจัดการ และบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัยสวยงาม แถมยังมียี่ห้อหรือ branding อีกต่างหาก ที่สำคัญ มีราคาสูงขึ้น คนที่เคยซื้อส้มกิโลละ 5 บาท 10 บาท คงคิดไม่ถึงว่าช่วงระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี จะทำให้ส้มมีราคาขึ้นสูงถึงกิโลละเฉียดร้อยหรือบางช่วงก็สูงกว่านั้นแต่ถึงอย่างนี้ด้วยรสชาติที่คงที่และการบรรจุหีบห่อและถุงหิ้วที่สวยงามก็ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากขึ้น เพราะสามารถซื้อเป็นของขวัญทั้งถุงหรือยกทั้งกล่องได้เลย ทั้งนี้เป็นผลมาจากพัฒนาการในการปลูกและระบบการขายส้มที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง โดยส้มพันธุ์ใหม่ๆ หรือรุ่นใหม่ๆ ที่เป็นที่นิยมอย่างสูงก็ได้แก่ ส้มสายน้ำผึ้งที่มีให้เลือกมากถึง 100 ยี่ห้อ และส้มโชกุนใต้ จากยะลา ซึ่งทั้งสองพันธุ์รสชาติก็แตกต่างกัน โดยส้มโชกุนจะหวานหอมอมเปรี้ยว ขณะที่สายน้ำผึ้งจะหวานกำลังดี และหวานอย่างเดียวไม่มีหวานเจี๊ยบ ขณะที่ส้มเขียวหวานแบบเดิมๆ ก็ค่อยทะยอยหายไป อาทิ ส้มบางมด ที่ปัจจุบันไม่มีแล้ว ถึงจะใช้ชื่อส้มบางมดแต่ก็ย้ายไปปลูกที่หนองเสือบ้าง รังสิตบ้าง คนเลยหันเอาส้มบางมดไปคั้นเป็นน้ำส้มมากกว่า

ช่วงที่ควรรับประทาน : ช่วงใกล้ๆ ปีใหม่ เพราะจะมีส้มเยอะ หวาน อร่อย และมีราคาถูก ที่สำคัญ ควรเลือกกินส้มตามฤดูกาลเพราะไม่เช่นนั้นจะมีราคาแพง แถมยังไม่อร่อยอีกต่างหาก โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมที่ส้มจะไม่อร่อย และไม่ค่อยมีผลผลิต

วิธีเลือกซื้อ : ควรเลือกส้มที่มีเปลือกบาง และมีน้ำหนัก

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ถึง อาจารย์ปาริชาติ ครับ

ที่ช่วงนี้ โพส์เยอะ เพราะอาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะใกล้ช่วง season จะไม่มีเวลาซักเท่าไรแล้ว ต้องรีบเคลียร์งานก่อน

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำข้าวโพดอบเนย ฉบับคลาสสิค

ข้าวโพดอบเนย

ส่วนผสม
ข้าวโพดหวาน 2 ฝัก
หอมใหญ่สับ 1/5 ถ้วย
เนยสด 1/4 ถ้วย
อะลูมินั่มฟอยล์

วิธิทำ
1. แกะเปลือกข้าวโพดออก หักเป็น 2 ชิ้น
2. ตีเนยกับหอมใหญ่เข้าด้วยกัน ตัดอะลูมินั่มฟอยล์เป็นแผ่นกว้าง 6 นิ้ว ยาว 9 นิ้ว
3. ตักเนยที่ผสมใส่อะลูมินั่มฟอยล์ ทาข้าวโพดด้วยส่วนผสมในข้อ 2 ให้ทั่ว วางบนห่ออะลูมินั่มฟอยล์ อบไฟ 150 องศาฟาเรนไฮต์ นาน 15 นาที จนสุกหอม รับประทานร้อนๆ

ม้าม ทำอะไรเอ๋ย ?

ม้าม (spleen)
เป็นอวัยวะในร่างกายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีรูปทรงเรียวรี คล้ายเมล็ดถั่ว เป็นอวัยวะที่ขจัดเชื้อโรคและเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ตายแล้วออกจากกระแสเลือด ม้ามจะอยู่บริเวณช่องท้องส่วนบน ใต้กะบังลมทางซ้าย และอยู่ใกล้กับตับอ่อน และไตซ้าย ถูกยึดติดไว้กับเยื่อบุช่องท้อง ม้ามมีขนาดแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยในวัยผู้ใหญ่ ม้ามจะมีความยาวประมาณ 13 เซนติเมตร (ประมาณ 5 นิ้ว) และจะมีความกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร (4 นิ้ว) และหนาประมาณ 3.8 เซนติเมตร (1.5 นิ้ว) และมีน้ำหนักประมาณ 200 กรัม (7 ออนซ์) หลอดเลือดที่เข้าสู่ม้ามคือ หลอดเลือดสเปลนิกอาร์เตอร์รี่ (splenic artery) และเลือดจากม้ามจะไหลเข้าสู่ตับสรีรวิทยาของม้ามม้ามทำหน้าที่ในการดึงเอาธาตุเหล็กจากฮีโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง นำมาใช้ในร่างกาย และยังทำหน้าที่เอาของเสียออกจากกระแสเลือดในรูปของน้ำปัสสาวะเช่นเดียวกับที่ตับ ม้ามสร้างแอนตีบอดี ในการต่อต้านเชื้อโรค และยังผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงขึ้นมาใหม่ได้ด้วย ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิด (ยกเว้นมนุษย์) ม้ามจะทำหน้าที่เก็บเซลล์เม็ดเลือดแดง และส่งไปยังกระแสเลือด เพื่อควบคุมปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดง ในกรณีที่เสียเลือดมาก ในทารกที่ยังไม่คลอด ม้ามมีหน้าที่หลักในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และหลังจากคลอด หน้าที่นี้จะเป็นหน้าที่ของไขกระดูกแทน แต่ถ้าไขกระดูกทำงานได้น้อยลงเนื่องจากโรคบางอย่าง ม้ามจะทำหน้าที่ในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงอีกครั้งหนึ่ง

ไต ทำจะได๋ ?

หน้าที่ของไต

ไตเป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง ขนาดเท่ากำปั้น คนปกติมีไต 2 ข้างวางอยู่บริเวณกลางหลังข้างละ 1 อัน โดยตั้งอยู่บริเวณด้านหลังใต้ต่อกระดูกชายโครง บริเวณบั้นเอว ไตเปรียบเสมือนเครื่องกรองชนิดพิเศษที่มีความมหัศจรรย์และมีจำเป็นอย่างมากในการดำรงชีวิต แต่ละวันจะมีเลือดประมาณ 200 หน่วยกรองผ่านเนื้อไต ขับออกเป็นของเสียในรูปน้ำปัสสาวะ 2 หน่วย ลงสู่ท่อไตและกระเพาะปัสสาวะ เพื่อถ่ายปัสสาวะออกนอกร่างกาย ไตทำหน้าที่กลั่นกรองน้ำ เกลือแร่ และสารเคมีส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ พร้อมกับทำการคัดหลั่งของเสียออกจากร่างกาย
หน้าที่สำคัญของไต คือ การสร้างปัสสาวะซึ่งจะช่วยขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ และช่วยในการรักษาความปกติของน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย นอกจากนั้นไตยังมีหน้าที่ในการสร้างสารที่ควบคุมความดันโลหิต และสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้นเมื่อไตทำงานน้อยลงมักเกิดปัญหาความดันโลหิตสูงและโลหิตจางร่วมด้วย

ขับถ่ายของเสีย
ไตทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีนออกจากร่างกาย ของเสียประเภทนี้ ได้แก่ ยูเรีย ครีอะตินีน กรดยูริก และสารประกอบไนโตรเจนอื่นๆ อาหารประเภทโปรตีนมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารจำพวกถั่ว ซึ่งหากของเสียจากอาหารประเภทโปรตีนเหล่านี้คั่งค้างอยู่ในร่างกายมากๆ จะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งทางการแพทย์เรียกภาวะดังกล่าวว่า ยูรีเมีย (uremia) นอกจากนี้ไตยังทำหน้าที่กำจัดสารพิษ สารเคมี รวมทั้งขับถ่ายยาต่างๆออกจากร่างกายอีกด้วย

ยูเรีย
ยูเรียเป็นโปรตีนที่ถูกตัดหมู่ amino ออก (-NH2) แล้วเปลี่ยนเป็นยูเรีย ส่งไปกรองที่ไต กระบวนการเปลี่ยนให้เป็นยูเรียเกิดขึ้นที่ตับ ยูเรียมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานของหน่วยไต เรียกว่า countercurrent system ช่วยในการดูดซึมกลับของสารน้ำและเกลือแร่ที่อยู่ในหน่วยไต โปรตีน urea transporter 2 เป็นตัวขนถ่ายยูเรียเข้าสู่ท่อไตเพื่อขับออกทางปัสสาวะ ยูเรียในกระแสเลือดอยู่ในสภาพสารละลายประมาณ 2.5 - 7.5 มิลลิโมล/ลิตร เกือบทั้งหมดขับถ่ายทางปัสสาวะ มีเพียงส่วนน้อยที่ถูกขับถ่ายทางเหงื่อ

ครีอะตินีน
ครีอะตินีนเป็นสารที่เกิดจากการแตกสลายของ creatine phosphate ในกล้ามเนื้อ ร่างกายสร้างครีอะตินีนขึ้นในอัตราที่คงที่โดยอัตราการสร้างขึ้นกับมวลกล้ามเนื้อของแต่ละคน ไตทำหน้าที่กรองครีอะตินีน โดยไม่มีการดูดกลับ ดังนั้นถ้าการทำหน้าที่กรองของไตเสียไปโดยไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จะสามารถตรวจพบระดับของครีอะตินีนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น


กรดยูริก
กรดยูริกเกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทเนื้อสัตว์ สารพิวรีนในโปรตีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องในสัตว์ ถั่วเหลือง ถั่วแดง กระถิน ชะอม ใบขี้เหล็ก ผักตำลึง กระหล่ำดอก ผักบุ้ง ถั่วลิสง เห็ด หน่อไม้ฝรั่ง กรดยูริกจะถูกขับออกมาทางไต ถ้าหน้าที่ของไตเสียไป ก็จะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นได้เช่นกัน กรดยูริกเกิดจากการย่อยสลายสารพิวรีน ร่างกายจะย่อยพิวรีนจนกลายเป็นกรดยูริก และจะขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ในคนปกติกรดยูริกจะถูกสร้างขึ้นในอัตราช้าพอที่ไตจะขับออกได้หมดทันกับการสร้างขึ้นพอดี

สมดุลของน้ำและเกลือแร่
ไตทำหน้าที่ควบคุมปริมาณสารน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย น้ำและแร่ส่วนที่เกินควรจำเป็นจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ เกลือแร่ดังกล่าว เช่น โซเดียม โปตัสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม และฟอสฟอรัส เป็นต้น ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 70 ในเลือดมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 92 ในสมองมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 85 ถ้าพิจารณาในแต่ละเซลล์จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 60 จริงๆแล้วน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญและจำเป็นของเซลล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเซลพืช เซลล์สัตว์ และเซลล์มนุษย์ ทุกเซลล์ล้วนประกอบด้วยน้ำทั้งนั้น ในเซลล์มนุษย์และเซลล์สัตว์มีน้ำประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนักร่างกาย ในพืชบกมีน้ำประมาณร้อยละ 50–75 ถ้าเป็นพืชน้ำอาจมีน้ำมากกว่าร้อยละ 95 โดยน้ำหนัก

ความดันโลหิต
ไตทำหน้าที่สร้างสารเรนิน (renin) ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ระดับคงที่ ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆเพียงพอ ในภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงที่ไตโดยเฉลี่ยลดลง ทำให้ร่างกายกระตุ้นกระบวนการเรนิน-แองจิโอเทนซิน ซึ่งจะทำให้มีการหลั่งเรนินจากจักซตาโกลเมอรูลาร์ อัฟพาราตัส (juxtaglomerular apparatus) ในไต เรนินเป็นเอนไซม์ที่หลั่งจากไตเข้าไปในกระแสเลือด ทำหน้าที่เปลี่ยนแองจิโอเทนซิโนเจน ให้เป็นแองจิโอเทนซิน I หลังจากนั้นเอนไซม์แเองจิโอเทนซิน คอนเวอทติง (angiotensin converting enzyme : ACE) จะเปลี่ยนแองจิโอเทนซิน I ให้เป็นแองจิโอเทนซิน II ที่ปอด เมื่อสารน้ำในร่างกายต่ำกว่าปกติ ระบบเรนิน-แองจิโอเทนซิน จะไปกระตุ้นหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดหดรัดตัว และกระตุ้นการหลั่งแอลโดสเตอโรนที่ต่อมหมวกไตส่วนนอก ทำให้เพิ่มปริมาณของโซเดียมและน้ำมากขึ้น ปริมาณเลือดจะเพิ่มขึ้น

การสร้างเม็ดเลือดแดง
ไตทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง มีชื่อเรียกว่า อีริโทโพอิติน (erythropoietin) หรือเรียกว่า อีโป (EPO) สารนี้ช่วยกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายอย่างเพียงพอ ป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง ไขกระดูกเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือด โดยทั่วไปไขกระดูกจะอยู่ตามโพรงของกระดูกทุกชิ้น และมีปริมาณมากที่กระดูกเชิงกราน และกระดูกหน้าอก เม็ดเลือดแดงมีสารฮีโมโกลบิน ทำหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เซลล์ทำงานได้ตามปรกติ

วิตามินดี
ไตทำหน้าที่สร้าง active form ของวิตามินดี ซึ่งมีบทบาทควบคุมระดับเกลือแร่แคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง วิตามินดีมีความจำเป็นในการดูดซึมแคลเซียมไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ในบ้านเรามักจะไม่มีปัญหาการขาดวิตามีนดี เนื่องจากมีแสงแดดตลอดปี วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ ควบคุมการขับถ่ายแคลเซียมออกจากไต และควบคุมการสะสมแคลเซียมบนกระดูก ร้อยละ 90 ของวิตามินดีในร่างกายมาจากการสร้างขึ้นของผิวหนังเมื่อทำปฏิกิริยากับรังสีอุลตราไวโอเลตชนิดบี

เมื่อไตทำงานบกพร่อง
เมื่อความบกพร่องเกิดขึ้นกับไต จนไตไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ในระยะแรก อาจพบความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ไม่รุนแรง เช่น ตรวจพบเพียงโปรตีนไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ จากการตรวจสุขภาพประจำปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษาจนไตเสื่อมหน้าที่มากขึ้น จะเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง

หากไตมีความบกพร่องมากๆ ผู้ป่วยอาจมีโรคโลหิตจาง หรือกระดูกผุ เป็นต้น หากไตไม่ทำงาน หรือทำงานไม่เพียงพอ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ หรือมีโรคแทรกจะทำให้ระดับของเสีย และปริมาณน้ำคั่งค้างในร่างกายหรือในเลือด จะปรากฏอาการเหล่านี้ คือ ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน มีเลือดในปัสสาวะ มีอาการบวมที่มือและเท้า ปวดหลังในระดับชายโครง ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่เกิดภาวะไตวายระยะสุดท้าย มีสาเหตุที่สำคัญมาจากเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ต้องรักษาโดยการล้างไต หรือผ่าตัดเปลี่ยนไต หากรักษาโรคทั้งสองนี้ได้ก็จะทำให้โรคไตที่เกิดขึ้นทุเลา หรือชะลอการเปลี่ยนแปลงได้
ภาวะไตวายเรื้อรังในระยะนี้ยังสามารถแก้ไขให้ไตกลับคืนหน้าที่ได้หากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ต่อเนื่องและเหมาะสม แต่หากปล่อยปละละเลยจนไตเสื่อมทุกหน้าที่อย่างสมบูรณ์และถาวร จนเกิดภาวะที่เรียกว่าไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
การรักษาด้วยวิธีการบำบัดทดแทนไต เช่น การฟอกเลือด การฟอกไตทางช่องท้อง และการปลูกถ่ายไตใหม่ให้ แม้ว่าจะได้รับการปลูกถ่ายไตใหม่ ก็ใช่ว่าไตนั้นจะใช้งานได้เหมือนอย่างไตของคนปกติ เพราะไม่ใช่ไตที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด ร่างกายต้องปรับตัวเข้ากับไตใหม่ ไตใหม่ที่ปลูกถ่ายมานี้ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกินสิบปี และเมื่อการเปลี่ยนไตสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะต้องหลีกเหลี่ยงและระวังกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากไตใหม่ที่ปลูกถ่ายใหม่นั้นถือเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกายที่กระตุ้นให้ภูมิต้านทานของร่างกายออกมาทำหน้าที่ต่อต้าน จึงจำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

ตับ ทำอะหยัง ?

หน้าที่ของตับ โดย นายแพทย์ประเสริฐ ทองเจริญ
ตับมีหน้าที่สำคัญหลายประการ อันได้แก่การสร้างน้ำดี ซึ่งออกมาในลำไส้ ช่วยให้อาหารประเภทไขมันถูกย่อยและดูดซึมง่ายขึ้น เก็บสำรองอาหาร โดยเก็บเอากลูโคส (GLUCOSE)ไปสะสมไว้ในเซลล์ตับ ในสภาพของกลัยโคเจน(GLYCOGEN) และจะเปลี่ยนกลัยโคเจนกลับออกมาเป็นกลูโคสในกรณีที่ร่างกายต้องการใช้ได้ทันที สะสมวิตามินเอ ดี และวิตามินบีสิบสอง นอกจากนี้ยังกำจัดสารพิษที่ลำไส้ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับก็จะทำลาย สารพิษบางชนิดตับทำลายไม่ได้ตรงกันข้ามจะไปทำลายเซลล์ตับ เช่น แอลกอฮอล์ (ALCOHOL) คาร์บอนเตตราคลอไรด์(CARBON TETRACHLORIDE) และคลอโรฟอร์ม (CHLOROFORM) เป็นต้น ตับจะทำหน้าที่สร้างวิตามิน เอ จากสารแคโรตีน (สารสีส้มที่มีอยู่ในแครอต และมะละกอ) ธาตุเหล็กและทองแดงจะถูกเก็บสะสมอยู่ที่ตับ เช่นเดียวกับวิตามิน เอ ดี และบีสิบสอง สร้างองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด อาทิเช่น ไฟบริโนเจน (FIBRINOGEN) และโปรธรอมบิน(PROTHROMBIN) เป็นต้น และยังสร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด อันได้แก่ เฮปาริน(HEPARIN) ทำหน้าที่ในการกินและทำลายเชื้อโรคโดยมีเซลล์แมกโครฟาจ (MACROPHAGE) ที่อยู่ในตับ ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่าคุฟเฟอร์เซลล์ (KUPFFER'S CELL) และหน้าที่ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเป็นแหล่งพลังงานสร้างความร้อนให้แก่ร่างกาย ในขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ ตับจะทำหน้าที่เป็นอวัยวะสร้างเม็ดเลือดแดง ตับจะยุติหน้าที่นี้โดยให้ไขกระดูกทำหน้าที่แทนในเวลาต่อมา นอกจากจะเป็นที่สร้างเม็ดเลือดแดงในระยะแรกแล้ว ในภาวะปกติคุฟเฟอร์เซลล์ที่บุเป็นผนังของแอ่งเลือดหรือไซนูซอยด์ (SINUSOID)จะทำหน้าที่ทำลายเม็ดเลือดด้วย ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกายทำหน้าที่สำคัญมากมาย ถ้าเซลล์ตับถูกทำลายเสื่อมสภาพไปจะมีผลต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามตับเป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์ในร่างกายแม้ว่ามีเซลล์ตับที่ดีเหลืออยู่เพียงร้อยละ ๑๐-๑๕ แต่ตับก็ยังสามารถรับภาระหน้าที่ต่าง ๆ ของตนเองที่จะประคับประคองชีวิตได้

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กำเนิด พระพิฆเนศ

กำเนิดเชื่อกันว่า ลัทธิการบูชาพระคเณศนั้น น่าจะมาจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งเป็นลัทธิการบูชาสัตว์ หรือลัทธิแห่งชัยชนะเหนือธรรมชาติ ชนพื้นเมืองของอินเดีย เชื่อกันว่าหนูเป็นสัญลักษณ์ของความมืด พระคเณศทรงขี่หนูจึงหมายถึงชัยชนะของแสงอาทิตย์ที่ขจัดความมืดให้สิ้นสุดลง พระคเณศอาจจะมีต้นกำเนิดมาจากการเป็นเทพประจำเผ่าของคนป่า ที่อาศัยอยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่ของอินเดีย คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับฝูงช้างอันน่ากลัวจึงเกิดการเคารพในรูปของช้างชึ้น เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองและพัฒนาต่อมาเป็นเทพชั้นสูงของชาวอารยัน ต่อมาได้พัฒนาเป็นเทพผู้ขจัดซึ่งอุปสรรค มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าของเทพที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งหลาย จนกระทั่งมีการรจนาปกรณ์ให้เป็นโอรสของพระศิวะเทพและพระนางปราวตีในเวลาต่อมา แต่ในแง่ของคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์ได้บรรยายจุดกำเนิดของพระคเนศไว้หลากหลายตำนานตามความเชื่อในแต่ละลัทธิ พอจะสรุปเป็นหลักๆได้ดังนี้


ตำนานที่ 1. วิฆเนศวรปราบอสูรและรากษส อสูรและรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะจนได้คำพรจากพระศิวะหลายประการ ยังให้เหล่าอสูรกลุ่มนี้ฮึกเหิมก่อความเดือดร้อนเป็นอันมาก พระอินทร์จึงทรงนำเทวดาทั้งหลายไปเข้าเฝ้าอ้อนวอนต่อพระศิวะ ขอให้พระองค์สร้างเทพแห่งความขัดข้องขึ้น เพื่อขัดขวางความพยายามของอสูรและรากษส พระองค์จึงทรงแบ่งส่วนกายหนึ่งให้เกิดบุรุษร่างงามจากครรภ์ของพระนางปราวตีและตั้งพระนามว่าวิฆเนศวร เพื่อทำหน้าที่ขวางทางอสูร รากษส และคนชั่วมิให้ทำการบัดพลีเพื่อขอพรจากพระศิวะ ทั้งยังเป็นผู้เปิดทางอำนวยความสะดวกต่อเทวดาและคนดีเพื่อเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ


ตำนานที่ 2. ปราวตีนำเหงื่อไคลปั้นเป็นลูก ครั้งหนึ่ง ชยาและวิชยา พระสหายของนางปราวตีได้แนะนำว่าปกติพระนางมักจะต้องใช้บริวารของพระศิวะอยู่เป็นประจำ ถ้าหากพระนางจะมีบริวารเป็นของตนเองก็คงจะดีไม่น้อย พระนางเห็นด้วย จนวันหนึ่งขณะที่ทรงสรงน้ำอยู่ตามลำพังก็ทรงนึกถึงคำพูดของพระสหายจึงได้นำเอาเหงื่อไคลออกมาสร้างบุรุษรูปงาม สั่งให้ไปยืนเฝ้าทวาร มิให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นอย่างนี้มาหลายเพลา จนวันหนึ่งพระศิวะได้เสด็จมา ฝ่ายลูกก็ป้องกันแข็งขัน โดยไม่รู้ว่านั่นคือพ่อพระศิวะโกรธก็เลยสั่งให้ภูติและคณะของตนเข้าสังหารทวารบาลพระองค์นั้น บ้างก็ว่าพระศิวะพุ่งตรีศูลตัดเศียรลูก บ้างก็ว่าพระวิษณุเทพที่มาช่วยรบนั้นใช้จักรตัดเศียร ความทราบถึงพระนางปราวตีจึงเกิดศึกใหญ่ระหว่างเทพและเทพีขึ้นบนสวรรค์ ฝ่ายฤาษีนารอดอดรนทนไม่ได้ จึงได้เป็นทูตสันติภาพขอเจรจากับนางปราวตีเพื่อสงบศึก นางบอกว่าจะสงบศึกก็ต่อเมื่อลูกของนางฟื้นเท่านั้น พระศิวะจึงสั่งให้เทวดาเดินทางไปทิศเหนือให้เอาศีรษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบมาต่อกับโอรสของนางปราวตี ปรากฏว่าเทวดาได้เศียรของช้างซึ่งมีงาเพียงข้างเดียวมา เมื่อพระคเณศฟื้นขึ้นมา ทราบความจริงว่า พระศิวะคือพระบิดาก็ตรงเข้าไปขอโทษเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระศิวะพอใจมากประสาทพรให้พระคเณศมีอำนาจเหนือภูติผีทั้งหลายและทรงแต่งตั้งให้เป็นคณปติ


ตำนานที่ 3. ขวางทางคนชั่วไปเทวาลัยโสมนาถและโสมีศวร พระนางปราวตีทรงเอาน้ำมันที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมกับเหงื่อไคลปั้นเป็นรูปคนแต่มีเศียรเป็นช้างจากนั้นได้เอาน้ำจากพระคงคาปะพรมให้มีชีวิตขึ้น เพื่อทำการขัดขวางแก่คนชั่วที่จะไปบูชาศิวะลึงค์ที่เทวาลัยโสมนาถและเทวาลัยโสมีศวรเพราะคนเหล่านี้หวังจะไปล้างบาปเพื่อมิให้ตกนรกทั้งเจ็ดขุม ด้วยเหตุนี้ การที่วันคเณศจาตุรถี นิยมเอารูปปั้นพระคเณศมาจุ่มน้ำหรือนำเทวรูปปูนชิ้นเล็ก ๆมาทิ้งตามแม่น้ำคงคา ชะรอยจะมาจากความเชื่อที่ว่าน้ำจากแม่พระคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง


ตำนานที่ 4. พระคเณศ กฤษณะอวตาร พระนางปราวตีมเหสีของพระศิวะไม่มีโอรส พระศิวะจึงทรงแนะนำให้พระนางทำพิธีปันยากพรต (พิธีบูชาพระวิษณุเทพ ในวันขึ้น 13 ค่ำเดือนมาฆะ) มีระยะเวลากำหนด 1 ปีเต็มและเมื่อครบกำหนด พระนางจะได้โอรสซึ่งเป็นพระกฤษณะอวตารไปจุติ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำตรัสของพระศิวะ ทวยเทพทั้งหลายมาร่วมอวยพรในกลุ่มเทพเหล่านี้มีพระศนิ (พระเสาร์) รวมอยู่ด้วย เมื่อพระศนิเหลือบมองพระกุมารทันใดนั้นเศียรกุมารก็ขาดจากพระศอกระเด็นไปยังโคโลกซึ่งเป็นวิมานของพระกฤษณะพระวิษณุจึงเสด็จไปยังแม่น้ำบุษปุภัทรเห็นช้างนอนหัวไปทางทิศเหนือจึงตัดเศียรช้างกลับมาต่อให้กับเศียรกุมารที่หายไป ตำนานนี้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่สร้างโดยกลุ่มที่นับถือพระกฤษณะเป็นใหญ่

ตำนานที่ 5 ศิวะ-อุมาแปลงกายเป็นช้างเข้าสมสู่ ครั้งหนึ่งพระศิวะและพระนางปราวตีได้เสด็จมายังแถบภูเขาหิมาลัยได้เห็นช้างสมสู่กันก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะจึงได้แปลงเป็นช้างพลาย ส่วนนางปาราวตีแปลงกายเป็นช้างพังร่วมสโมสรจนมีลูกเป็นพระคเณศ

ประวัติพระยูไล

พระยูไล
คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวจีน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงทำความดับทุกข์ให้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ทรงสอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา มารพรหม และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้ว ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือแบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ บริบูรณ์ สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า (กราบระลึกถึงพระพุทธคุณ)
สมัยโบราณชาวพุทธไม่กล้าที่จะวาดรูปหรือปั้นรูปซึ่งเป็นตัวแทนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงใช้สัญลักษณ์เป็นต้นโพธิ์และมีบัลลังว่างเปล่า เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า เมื่อศาสนาพุทธแพร่หลายออกไปทั่วโลกจึงเกิดมีการวาดรูปและบั้นรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นในภายหลัง เพื่อเป็นการเคารพบูชา เพราะฉะนั้นรูปวาดหรือรูปปั้นจึงเป็นไปตามวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น พระพุทธเจ้าของชาวจีนจึงมีลักษณะตาชั้นเดียว
ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์คิดว่าจะไม่ทรงสั่งสอนใคร เพราะธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้นเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนทั่วไป แต่ภายหลังพระองค์ทรงคิดว่ายังคงจะมีผู้ที่สามารถที่จะรู้ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ได้ จึงได้ทรงเปลี่ยนพระทัยด้วยทรงมีพระเมตตา และกรุณาที่พระองค์มีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย จึงทรงเปลี่ยนพระทัยมาตรัสสอนพวกเราทั้งหลายให้ได้รู้ตาม
เพื่อเป็นการระลึกถึงพระกรุณาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีต่อชาวมนุษย์จึงเป็นที่มาของการสร้างเหรียญองค์พระยูไลรุ่น ซาฮะ หรือไตรภาคี มีสรรพคุณในทางเมตตา ปัญญาและขันติ เหมาะสำหรับนักเรียนและนักศึกษา รุ่นนี้ถ้าไม่เล่นหวยรวยทุกคน
ดังคำกล่าวที่ว่า “ลิขิตฟ้า อาญาสวรรค์ ยากจะฝืน” ได้ปรากฏจริงดังให้เห็นมาแล้วทุกยุคทุกสมัย แต่เราท่านก็ได้รับรู้มาเช่นกันว่ามีบางอย่างที่สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาหรือที่ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้นได้ และองค์เทพสวรรค์ทั้ง 4 ก็เป็นอีกหนึ่งในบางอย่างนั้นด้วยเช่นกัน

ประวัติเจ้าแม่กวนอิม

เจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์ ของพระพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน

เป็นองค์เดียวกันกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ในภาษาสันสกฤต ซึ่งมีต้นกำเนิดจากพระสูตรมหายานในอินเดีย และได้ผสมผสานกับความเชื่อพื้นถิ่นดั้งเดิมของจีน คือตำนานเรื่องพระธิดาเมี่ยวซ่าน ก่อให้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมใน ภาคสตรีขึ้น เพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยน และแสดงถึงความเมตตากรุณาให้เด่นชัดยิ่งขึ้นดังเช่นความรักของมารดาที่มีต่อ บุตร ซึ่งเป็นการผสมผสานกลมกลืนทางความเชื่อที่ปราศจากข้อขัดแย้ง เนื่องจากในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรได้อธิบายว่า พระอวโลกิเตศวรนั้น สามารถแบ่งภาคเพื่อโปรดสรรพสัตว์ได้มากมายทั้งปางบุรุษและสตรี และเป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์มหายานที่เมื่อเข้าไปสู่ดินแดนอื่นทั้งทิเบต จีน หรือญี่ปุ่น ย่อมผสมผสานกลมกลืนได้กับเทพท้องถิ่นนั้น ๆ อย่างในกรณีพระอวโลกิเตศวรนี้ Sir Charles Eliot ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "คงเนื่องมาจากความสับสนทางความคิดของชาวจีนในยุคนั้น ซึ่งบูชาเทพเจ้าต่างๆ ของตนอยู่แล้ว และเมี่ยวซ่านก็เป็นเทพวีรชนดั้งเดิมอยู่ก่อน พออารยธรรมพระโพธิสัตว์จากอินเดียแผ่เข้าไปถึง ได้เกิดการผสานทางวัฒนธรรมเปลี่ยนชื่อเสียงคงไว้เพียงแต่คุณลักษณะต่าง ๆ พอให้แยกออกว่าเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์"พระโพธิสัตว์กวนอิม (ประสูติ 19 เดือนยี่จีน) ชาติสุดท้ายเป็น ราชธิดานาม เมี่ยวซ่าน เดิมเป็นเทพธิดา มาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อมาช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ เป็นราชธิดาองค์สุดท้ายของกษัตริย์ เมี่ยวจวง ซึ่งมีราชธิดา 3 องค์ องค์โตชื่อ เมี่ยวอิม องค์รองชื่อ เมี่ยวหยวน เยาว์วัยเป็นพุทธมามกะ รู้แจ้งในหลักธรรมลึกซึ้ง ตั้งพระทัยแน่วแน่จะบำเพ็ญภาวนา เพื่อหลุดพ้นสังสารวัฏ ออกบวชวันที่ 19 เดือน 9 พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่เห็นด้วย จะบังคับให้เลือกราชบุตรเขย เพื่อจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป แต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไม่สนพระทัยเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ อันจอมปลอม แม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไร องค์หญิงก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใดต่อมาองค์หญิงสามได้ถูกขับไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดา มาช่วยทำแทนให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชี นำองค์หญิงสามไปอยู่ที่วัดนกยูงขาว และให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิงมีพระทัยเด็ดเดี่ยว ไม่เกี่ยงงานการต่างๆ ก็มีเหล่าเทพารักษ์มาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งทรงกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไป พร้อมกับพวกแม่ชีทั้งวัด มีแต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้พระเจ้าเมี่ยวจวง ทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต เทพารักษ์คอยคุ้มครองเจ้าหญิงอยู่ โดยเนรมิตทองทิพย์เป็นเกราะห่อหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย ดาบหักถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วยิ่งนัก โดยเข้าพระทัยว่านายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับเจ้าหญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีกทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำเจ้าหญิงขึ้นพาดหลังแล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงซัน ต่อมา เทพไท่ไป๋ ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดเจ้าหญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีการบำเพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์ จนสามารถบรรลุมรรคผลสำเร็จธรรม วันที่ 19 เดือน 6 ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าพระทัยว่า เจ้าหญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีกต่อมาไม่นานบาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ส่งผล เกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียารักษาให้หายได้ เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านได้ ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า พระบิดากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธการกระทำพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้าง เพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้าย ว่ากันว่า ภายหลังสำเร็จอรหันต์ ได้ดวงตาและพระกรคืน เคยแสดงปาฏิหารย์เป็นปางกวนอิมพันมือ องค์หญิงเมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรด ชี้แนะหนทางดับทุกข์ เหตุนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋าในเวลาเดียวกัน

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ระดับความเมา

ระดับที่ 1: SMART(ฉลาด) - เมื่อคนดื่มเหล้าเข้าไปเมาจนถึงระดับนี้ซึ่งเป็นระดับแรก จะรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล และมักจะชอบเผื่อแผ่ความรู้ให้ทุกๆคนในบาร์ ความเป็นจริงทุกอย่างในจักรวาลจะถูกนำออกมาเปิดเผยหมด ไม่ว่าใครจะพูดเรื่องอะไรคุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นพอดิบพอดี และคุณจะรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่คนอื่นพูดมาจะเป็นเรื่องผิดไปหมด ไม่ตรงกับข้อมูลที่คุณมี จึงจะมีการเริ่มตั้งข้อโต้แย้งต่างๆกัน

ระดับที่ 2: GOOD LOOKING(ดูดี) - คุณจะเริ่มค้นพบว่าคุณมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีที่สุดในละแวกนั้นและทุกๆคนเริ่มที่จะ หันมาสนใจคุณเพราะคุณดูดี แน่นอนคุณสามารถเดินไปคุยกับทุกๆคนได้ทุกๆ เรื่องด้วยเพราะคุณทั้งดูดี และฉลาด

ระดับที่ 3: RICH(รวย) - เมื่อเมาถึงระดับนี้คุณจะค้นพบว่าตัวเองนั้นมีเงินมหาศาล คุณสามารถที่จะเลี้ยงเหล้าทุกคนในบาร์ได้ เพราะคุณมีเงินมหาศาล และถ้าใครพูดอะไรผิดหูคุณสามารถที่จะท้าพนันได้ทุกเรื่องเพราะคุณยังฉลาดกว่าด้วย นอกจากนี้คุณยังดูดีมากๆด้วย

ระดับที่ 4: BULLET PROOF(คงกระพัน) - เมื่อเมาถึงระดับนี้ตัวคุณจะมีวิชาคงกระพันแก่กล้ากว่าคนทั่วไปและ พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกับทุกๆคนได้ เพราะไม่มีใครจะทำอันตรายคุณได้ คุณสามารถท้าพนันตีต่อยกับเพื่อนคุณก็ได้ และคุณก็ไม่กลัวแพ้ด้วย เพราะว่าคุณทั้งฉลาด, ทั้งดูดี, ทั้งรวยและต่อสู้เก่งระดับนักมวยอาชีพ


ระดับที่ 5: INVISIBLE(หายตัว) - ระดับความเมาสุดยอด คุณต้องดื่มมากจึงจะเมาถึงระดับนี้ได้ด้วย ความเมาที่ระดับนี้คุณสามารถทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีใครเห็นคุณ, จะไปเต้นรำบนโต๊ะ, แหกปากร้องเพลงกลางถนน, ไล่ตีหัวคนอื่นก็ทำได้เพราะไม่มีใครเห็นคุณ

ระดับฮอร์โมนในการชอบลักษณะของเพศตรงข้าม

ระดับ Testosterone ควบคุมความชอบเพศตรงข้าม


ผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมน testosterone สูงจะชอบผู้ชายที่มีกล้ามใหญ่เหมือนผู้ชายมากขึ้นเหมือนดาราอย่าง Russell Crowe และ Daniel Craig

และผู้ชายที่มีระดับของฮอร์โมนดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นจะทำชอบผู้หญิงที่หน้าตาแบบดารา Evangeline Lilly และ Natalie Portman

งานวิจัยนี้เป็นของมหาวิทยาลัยอเบอร์ดีน ซึ่งเปิดเผยผลกระทบของระดับฮอร์โมน testosterone ต่อขอบเขตของผู้ชายและผู้หญิงที่ทำชอบคนที่หน้าตาที่แตกต่างกัน
มีการมองว่าการที่คนเราชอบผู้อื่นนั้นเพราะมีความนึกคิดในรูปแบบอย่างอย่างเอาไว้ แต่นักวิจัยพบว่าระดับฮอร์โมน testosterone นั้นเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งนี้เป็นครั้งแรกที่พบว่าฮอร์โมนมีบทบาทที่ทำให้ผู้หญิงบางคนมีเสน่ห์ต่อผู้ชายบางคน
นักวิจัยได้ให้อาสาสมัครผู้ชายและผู้หญิงให้ทำแบบทดสอบความพึงพอใจต่อหน้าตา ซึ่งจะแสดงเป็นคู่หน้าตาของความเป็นชายและหญิงออกมาทาง และให้อาสาสมัครเลือกหน้าออกมาจากในแต่ละคู่ที่คิดว่ามีเสน่ห์มากสุด หลังจากผ่านการทดสอบที่แตกต่างกัน 4 ครั้ง ใน 4 สัปดาห์ นักวิจัยจะเก็บตัวอย่างน้ำลายในแต่ละการทดสอบเพื่อวัดระดับ testosterone
นักวิจัยพบว่า อาสาสมัครจะชอบหน้าตาที่มีรูปแบบต่างกัน ในรอบการทดสอบที่ระดับ testosterone สูงขึ้นมากกว่าช่วงการทดสอบที่ testosterone ต่ำ เมื่อระดับฮอร์โมน testosterone ในผู้ชายสูงขึ้นก็จะยิ่งชอบผู้หญิงที่มีหน้าตาความเป็นหญิงสูง เมื่อผู้หญิงมี testosterone สูงก็จะชอบผู้ชายที่มีความเป็นผู้ชายสูงเช่นกัน
ผู้ชายที่มีความเป็นชายและผู้หญิงที่มีความเป็นหญิงสูงมีแนวโน้มว่าจะสามารถให้ลูกหลานที่มีสุขภาพดีและมีแรงขับดันทางเพศมากขึ้นเมื่อระดับ testosterone สูงขึ้น ซึ่งการค้นพบนี้บ่งชี้ว่าผู้ชายและหญิงในช่วงเวลาที่สนใจเรื่องเพศจะมีระดับฮอร์โมนสูงที่สุด และแสดงถึงความชอบที่รุนแรงในการเลือกสิ่งที่มีคุณภาพดีที่สุด หรือ สุขภาพดีที่สุด เพื่อจับคู่

ความรัก 4 ระดับ

ระดับ 1. รักใคร่ใฝ่กามา (sex)เป็นความรักที่หวังมีเพศสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่ต้องการความผูกพันธ

ระดับ 2 . รักหวังวิวาห์มาคู่กัน (Eros)หวังจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพราะอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข แต่ถ้ารักมากเกินไป จะมีความหึงหวงเป็นผลข้างเคียง

ระดับ 3. รักปันแบ่งความสุข(Well Wish) เป็นความรักที่ปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข
มีลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ อะไรที่ทำแล้วอีกฝ่ายมีความสุข เราจะทำสิ่งนั้นเสมอ, สิ่งใดทำแล้วอีกฝ่ายเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ เราจะหลีกเลี่ยง, ถ้าอีกฝ่ายทำให้ไม่สบายใจเราจะให้อภัย

ระดับ 4. รักยอมทุกข์เพื่อสุขเธอ(Devoted Love) เป็นความรักที่เสียสละ เช่นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

ถ้าแฟนคุณรักคุณระดับเกรด 3 เขาควรให้เกียรติคุณ เคารพในความเห็นของคุณ แสดงว่าเขารักคุณจริง แต่ถ้าเขารักคุณแบบเกรด 1 ก็จะพยายามลวนลามให้ได้ใช้ร่างกายคุณเพื่อระบายความต้องการทางเพศ เป็นความเห็นแก่ตัว แต่ส่วนใหญ่มักจะเกรด 2 ซึ่งคุณต้องชั่งน้ำหนักดูว่าคุณความจะใช้ชีวิตคู่กับเขาดีหรือไม่


บทความนี้นำมาจาก http://www.DoctorSan.com

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข้าวโพด ล้างพิษ

ทานข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้

"นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯรายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า
ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัดเขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค ่าทางอาหารลงไปสู้กินดิบๆไม่ได้แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีไปเขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียสในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาทีพบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น22, 44และ 53เปอร์เซ็นต์ขึ้นตามลำดับนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษ ดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆอย่างเช่นต้อกระจกและโรคสมองเสื่อมอีกด้วย คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่ากรดเฟรลิกอันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนักแต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่นการทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น.

ฝีพาย ได้ดี

กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองแห่งหนึ่ง ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ทำมาหากินรุ่งเรือง ด้วยน้ำท่า ข้าวปลาสมบูรณ์ เพราะพระราชาทรงตั้งมั่น อยู่ในทศพิศราชธรรมปกครองประชาราชด้วยความเที่ยงธรรมเช้าวัน หนึ่ง พระราชาต้องการเสด็จประพาสทางเรือ จึงให้ทหารมหาดเล็กเตรียมเรือ ระดมฝีพาย เตรียมการเสด็จตั้งแต่รุ่งเช้า โดยมีฝีพาย และนายท้าย 21 ฝีพาย มหาดเล็กห้อมล้อมพัดวี ถวายความปลอดภัย เมื่อเรือผ่านคุ้งน้ำ เข้ามา ก็เป็นบริเวณศาลาท่าน้ำของวัดแห่งหนึ่ง พระราชาทรงให้ชลอเรือพระที่นั่งเพื่อทรงพักขบวนเรือชั่วคราว แล้วพระองค์ก็ได้ยินเสียงลูกสุนัขร้องแว่วเข้ามา จึงมีรับสั่งกับฝีพายว่า “ขึ้นไปดูซิ เสียงอะไรที่ท่าน้ำ” ฝีพายคนแรกขึ้นไป แล้วลงมาทูลว่า “ลูกสุนัข พระเจ้าข้า” พระราชาก็ตรัสถามต่อว่า “แล้วมีกี่ตัว” ฝีพายคนแรกทูลตอบว่า “ยังไม่ได้นับพระเจ้าข้า”พระองค์ จึงมีรับสั่งให้ฝีพายคนที่สองขึ้นไปดู เมื่อกลับลงมาจากท่าน้ำแล้วทูลว่า “มีลูกสุนัข สี่ตัวพระเจ้าข้า” ทรงตรัสถามต่อ ว่า “แล้วมีสีอะไรบ้าง” ฝีพายคนที่สองทูลตอบว่า “มิได้สังเกต พระเจ้าข้า”พระราชาจึงใช้ฝีพายคนที่สามให้ ขึ้นไปดู เมื่อฝีพายคนที่สามกลับลงมา ก็ทรงเรียกเข้าไปสอบถาม “แล้วเจ้าละ ตอบเรามาที ลูกสุนัขบนท่าน้ำมีสีอะไร” ฝีพายคนที่สามทูลตอบว่า “มีสีดำ สองตัว น้ำตาลและขาวอย่างละหนึ่งตัว พระเจ้าค่า” ทรงถามต่อ ว่า “แล้วมีตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัวละ” เจ้าฝีพายคนที่สามทูล ตอบว่า “เป็นตัวผู้หนึ่งตัว ส่วนอีกสามตัวเป็นตัวเมียพระเจ้าข้า” ทรง ถามต่อ ว่า “แม่มันไม่อยู่หรอกหรือ ไปไหนเสียล่ะ ลูกมันถึงได้ร้องครวญครางอย่างงี้น่ะ แล้วมันหย่านมกันแล้วหรือยังล่ะ” เจ้า ฝีพายทูลตอบว่า “แม่มันไปกินข้าว ที่หลวงตาเทให้ ส่วนการหย่านมสอบถามเด็กวัดแล้วว่า มันยังไม่หย่านม แต่ลูกมันกินข้าวกินอาหารเป็นแล้วพระเจ้าข้า”
พระราชาทรงถามต่ออีก ว่า “อย่างนั้นถ้าเราเอาไปเลี้ยงในวัง ได้แล้วซิ” ฝีพายทูลตอบว่า “อายุลูกสุนัขสมควรหย่านมแม่ได้แล้ว และมันหาอาหารกินเองได้ แยกจากแม่เอาไปเลี้ยงได้แล้วพระเจ้าข้า”ทรงรับสั่งกับฝีพายว่า “เราจะนำไปเลี้ยงหนึ่งตัว เจ้าจงไปเลือกดูว่าตัวไหนเหมาะสม” ฝีพาย คนนั้นก็ขึ้นไปที่ท่าน้ำ นำลูกสุนัขกลับมาหนึ่งตัว เป็นสุนัขเพศผู้สีดำ ทรง รับสั่งถามว่า “เหตุใด เจ้าถึงได้เลือกลูกสุนัขตัวนี้มาให้เราเลี้ยง” ฝ่าย ฝีพายทูลตอบว่า “อันลูกสุนัขเพศผู้ มันมีร่างกายเป็นสง่า แข็งแรงด้วยกล้ามเนื้อแล้ว ยังสามารถฝึกให้ล่าสัตว์ได้อีกด้วย อีกทั้งเมื่อถึงวัยเจริญพันธ์ อันเพศผู้ย่อมไม่เกิดลูกให้เป็นที่ระคายเคืองรำคาญพระบาท พระเจ้าข้า”เมื่อ พระราชาได้รับคำกราบทูลดังนี้แล้ว จึงมีรับสั่งว่า “เราขอตั้งให้เจ้าฝีพายผู้นี้ เป็นมหาดเล็กรับใช้ฝ่ายใน มีหน้าที่ดูแล เจ้าสุนัขทรงเลี้ยง และให้มันรับเบี้ยหวัดเงินรายเดือน รายปีต่อไป นับแต่บัดนี้”นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “จักทำอะไร หรือถูกใช้ให้ทำสิ่งใด จงใช้ความรอบคอบ คิดรอบ ไตร่ตรอง ในเรื่องต่าง ๆ ให้ครบถ้วน การทำงานนั้นจะสำเร็จ ไม่เสียเวลา เป็นที่ถูกใจของผู้บังคับบัญชา จะได้รับความไว้วางใจ ให้ทำงานที่สำคัญต่อไป”

ประวัติสมเด็จองค์ปฐม

ประวัติและการ สร้างสมเด็จองค์ปฐม“สมเด็จองค์ปฐม”

ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่หนึ่ง ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี”แต่พระพุทธ เจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้วอาจจะมีชื่อซ้ำกันได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น พระพุทธสิกขีที่ 1 พระองค์จึงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่า ทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู”อย่างแท้จริง สมัยที่สมเด็จพระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่น ปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพาน หลังจาก ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ ด้วยพระองค์เอง ทรง ใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อ บรรลุ พระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ ถึง 40 อสงไขยกัปเศษ

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

50 ข้อดี ของคนไม่มีแฟน

1. มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากดูหนัง คุยโทรศัพท์
2. มีเวลาอยู่กับเพื่อนมากขึ้น
3. กลับบ้านดึกก็ได้ไม่ต้องโทรรายงานใคร
4. ไม่ต้องทะเลาะกับใคร ไม่สุขมากแต่ก็ไม่ทุกข์แล้วกัน
5. ประหยัดค่าใช้จ่าย แบบว่าไม่รู้จะไปเที่ยวไหน
6. ร้องเพลงคนไม่มีแฟนของพี่เบิร์ดได้อย่างสะใจ
7. ไม่ต้องคอยเอาใจคนอื่น
8. ไม่ต้องพบเพื่อนของแฟนที่เราไม่อยากรู้จัก
9. ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแย่งแฟนเรา
10. มีคนคอยเป็นห่วงเยอะ (และคอยถามว่าทำไมไม่มีแฟน)
11. ไม่ต้องคอยหึงหวง
12. ไม่ต้องห่วงว่าเค้าจะสบายดีรึเปล่า
13. มีเวลาให้ตัวเองเต็มที่
14. ไม่ต้องฟังคำว่า "อนาคตของเรา"
15. ไม่ต้องอกหัก อันนี้สำคัญมาก
16, ไม่ต้องกังวลวันวันนี้ใส่ชุดอะไรดีถึงจะถูกใจมัน
17. ไปหาเพื่อนน่ะแต่งตัวแบบไหนก้อได้
18. ไม่ต้องคอยเช็ค sms เผื่อว่ามันส่งมาแล้วยังไม่ได้ส่งกลับ (เฮ้อออ....เปลืองอ่ะ)
19. อยากม่อใครก้อได้ไม่มีคนคอยตามประกบ
20. พ่อแม่จะรักเป็นพิเศษเพราะอยู่ติดบ้าน
21. ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง เพื่อเอาใจใคร
22. ไม่ต้องรอคำสัญญาที่มันไม่เป็นความจริง 22. ไม่ต้องคิดมาก
23. มีทางเลือกให้กับชีวิตเพิ่มขึ้น
24. .ไม่ต้องร้องไห้............
25. ได้ทำตามใจตัวเองอย่างเป็นสุขไม่ต้องกังวลถึงเค๊า
26. คิดถึงคนหลายๆคนพร้อมกันได้
27. คิดถึงตัวเองมากขึ้น 2
8. ชินกับการอยู่บ้าน เพราะไม่มีแฟนชวนเที่ยว
29. เล่นเนทได้นานสะใจ จะคุยกับใครก็ได้ไม่มีใครหวง
30. มีเวลาดูละครน้ำเน่ามากขึ้น
31. เข้าถึงพระธรรมได้ง่ายขึ้น(แต่ไม่ยักกะทำ)
32. ไม่ต้องคอยโทรศัพท์
33. ไม่ต้องเปลืองค่าโทรศัพท์โทรหา
34. จะเหล่ใครก้อไม่มีใครว่าเพราะยังไม่มีใครถูกใจ
35. ไม่ต้องคอยระแวงว่าคนที่เดินข้างๆจะเป็นใคร
36. จะทำอาไรก็ได้
37. ไม่โดนเพื่อนด่าว่า"ลืมเพื่อน"
38. คิดถึงใครก็ได้ที่อยากจะคิด
39. ไม่ต้องโบะหน้าสวย,หล่อทั้งวัน
40. ไม่ต้องปกปิดด้านชั่วของตัวเอง
41. ไม่ต้องดัดเสียงให้ไพเราะและฟังดูน่ารัก
42. จะทำอาไรไม่ต้องเกรงใจแฟน
43. ใครจะจีบก้อจีบไปเพราะเรา"ไม่มีแฟน"
44. ไม่ต้องเอาใจญาติพี่น้องแฟน
45. แต่ชอบที่จะอุ้มแฟนเข้าเรือนหอนะ
46. ร่างกายแข็งแรงเพราะเอาเวลาไปเล่นกีฬา
47. สามารถคุยกับเพศตรงข้ามได้โดยไม่รู้สึกผิดเพราะไม่มีแฟน
48. ไม่ต้องร้องเพลงอกหัก
49. ประหยัดนํ้าตาไว้ร้องไห้เรื่องอื่น
50. ไม่ต้องคอยไปรับไปส่งใคร

10 ข้อดี ของการมีกิ๊ก

1.ทำให้ชีวิตเรา ตื่นเต้น....และน่าลุ่นว่าแฟนจะจับเมื่อไหร่.......(ตาย........555)
2.ทำ ให้เราสู้คน อยากเตะแฟน เพราะจับได้ว่ามันมี กิ๊ก
3.ทำให้เราเกียดแฟนได้ มากขึ้น จากที่รักมาก
4.ทำให้เรามีตัวเลื่อก และเราเป็นตัวเลือกของแฟน
5.ทำ ให้เรา รู้ว่า เราทำผิดศีล 5 ข้อ 3
6.ทำให้เรา มีไหวพริบ ในการฝึกทักษะการพูดต่อหน้าแฟน.....
7.ทำให้เรา ต้องหาเงินมากขึ้นพา กิ๊กไปเที่ยว
8.ทำให้เรา มีศิลปะ ฝึกการปั้นน้ำเป็นตัวได้.........5555
9.ทำ ให้เรา คิดทำประกันอุบัติเหตุ.......เพื่อไปใช้ฉุกเฉิน......ตอนโดนแฟนจับได้
10.แต่ สุดท้ายการมีกิ๊ก ก็ไม่ได้พิสูจน์ อะไรนอกจาก ให้เรารู้ว่า แฟนเรารักเรามากแค่ไหน....(อย่าไปคิดมีเลย.....อาจตายฟรีนะ)

50 ข้อดีของคนมีแฟน

1. ควงไปไหนต่อไหนได้ (กุมีแฟนแร้วนะ)
2. มีคนคอยโทเตือน ให้กินข้าวเช้า เที่ยง เย็น
3. มีพยาบาลส่วนตัว กำชับให้กินยาตรงเวลาตอนที่มะสบาย
4. มีคนเลี้ยงข้าว............
5. มีคนให้โทหาเวลาเหงา
6. มีที่ยึดเหนี่ยงทางจิตใจ
7. มีคนมารับกลับบ้าน
8. มีคนคอยห่วง
9. ไม่ต้องรำคาญ พวกคอยตามตื้อ
10. เปงคนดีมากขึ้น ปกปิดด้านชั่วของตัวเองต้องดูดีในสายตาแฟน
11. มีคนโทรปลุกตอนเช้าาาา
12. มีความสุข พอวันวาเลนไทน์
13. ไม่มีคนคอยถามว่าเมื่อไหร่จะมีแฟน
14. ตื่นตัวตลอดเวลา กัวแฟนจับได้ว่าแอบหลบมากะกิ๊ก
15. มีคนชวนทะเลาะ พอเปงสีสันของชีวิต
16. มีคนพูดคำหวานๆ กรอกหู
17. มีคน ใส่ใจ ดูแลทุกข์สุข
18. เวลาฝนตก มีคนคอยกางร่มให้
19. ดูดีขึ้น เพราะต้องน่ารักที่สุดในสายตาแฟน
20. ไม่ต้องเดินคนเดียว
21. ไม่ต้องนั่งกินข้าวแบบเหงาๆ
22. มีเพื่อนไปดูหนังรักโรแมนติก
23. ความจำดีขึ้น เพราะต้องคอยจดจำวันไหนคบกันวันแรก วันไหนไปดูหนังกันครั้งแรกกินข้าวครั้งแรก และอื่นๆ
24. มีแม่เพิ่มอีกคน
25. มีเพื่อนดูละครน้ามเน่า หรือดูบอล
26.ไปไหนไม่อันตรายเพราะมีแฟนคอยคุ้มกัน
27. ม่ายต้องโดนด่าว่าขึ้นคานหาแฟนมะได้
28. ไม่ต้องโทรหากิ๊กหลายคน เพราะมีแฟนคนเดียว
29. ไม่ต้องอิจฉาเวลาเห็นเพื่อนยุกะแฟน
30. ไม่ต้องคอยหาคน ไปดูหนังเป็นเพื่อน
31. มีคนคอยให้ของขวัญในเทศกาลต่างๆ
32. ไม่ต้อง กินไอติม คนเดียว
33. มีคนให้กอดเวลาหน้าหนาว
34. มีคนคอยบอกรัก
35. มีคนให้คิดถึง
36. มีคนให้คอยหวง ห่วง แคร์
37. แข็งแรงขึ้น เพราะต้อง ดูดี
38. เจริญอาหาร ทานไปมองหน้าไปหวานได้อีก
39. มีคนปลอบเวลาท้อแท้
40. มีคนนั่งซ้อนท้ายเบาะหลังมอไซต์
41. มีเรื่องดีๆให้น่าจดจำ
42. มีวันพิเศษให้คอยคิดถึง
43. จิตใจผ่องใส
44. ไม่ลองลอยเคว้งคว้าง
45. มีข้ออ้างเวลาเพื่อนชวนไปเที่ยว(แฟนมะให้ไป)
46. มีคนคอยเอาใจเวลาที่เราเอาแต่ใจ
47. มีคนคอยฟังเวลาเรา บ่นๆๆๆ
48. มีคนคอย บอกฝันดี ก่อนนอน
49. ถามสาีรทุกสุกดิบ
50. มีคนคอยจับมือจูงข้ามถนน

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

5 วิธีลดไขมันหน้าท้อง

ปัญหาของไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงอย่างเรา
จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ต้องเลือกแล้วเลือกอีกกว่าจะพรางบริเวณนั้นได้ ช่างเป็นอะไรที่ทรมานจิตใจที่สุดจะไปไหนมาไหนต้องเสียเวลากับเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่อย่าเพิ่งกังวลใจเรามีวิธีลดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องมาแนะนำยังไงก็ลองทำดูนะคะ

1.วิธีการรับประทานอาหารควรเคี้ยวให้ช้า ๆ และค่อย ๆ กลืน การเคี้ยวอาหารอย่างช้าเป็นการช่วยให้ระบบย่อยอาหารไม่มีปัญหา และการกลืนต้องระวังเรื่องอากาศถ้าเข้าท้องมาก ๆ ท้องคุณอาจบวมได้

2.วิธีดื่มน้ำไม่ควรดื่มน้ำไปทานอาหารไป จะทำให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะคุอยู่นานขึ้น การดื่มน้ำควรจะดื่มก่อนหรือหลังสัก 30 นาทีจะมีผลดีกว่าคะ

3.วิธีการกดเส้น ก็เป็นอีกวิธีที่สามารถช่วยลดอาการบวมหรือการกระตุ้นการย่อยอาหารได้ คุณใช้ปลายนิ้วกดลงที่ใต้เข่าบริเวณหน้าแข้งกดไว้สักประมาณ 1 นาที แล้วค่อย ๆ ปล่อยมือออกจะช่วยได้มาก

4.วิธีเติมน้ำมะนาวลงในเครื่องดื่ม น้ำมะนาวจะช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านระบบในร่างกายของคุณเป็นอย่างดีและถูกต้อง

5.วิธีแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ คุณหาน้ำว่านหางจระเข้มาดื่มสักแก้ว จะช่วยให้กระเพาะอาหารของคุณดีขึ้นและรู้สึกหายจากอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้มาก

นักร้องสาว ๆ ที่น่ารักอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด


1. san dara

2. SOHEE

3.SUNNY

5.TAEYEON

6.ฮัน ซึงยอน

3 อันดับ สาวที่สวยที่สุดในไทย


อันดับที่ 1 อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ
อันดับที่ 2 แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ

อันดับที่ 3 นุ่น วรนุช วงษ์สวรรค์

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

3 อันดับ สาวที่สวยที่สุดในเกาหลี



อันดับ 1 คิม แต ฮี







อันดับ 2 ลี ยอง เอ



อันดับ 3 ฮัน กา อิน
คนนี้แหละ ที่น่ารักที่สุด สเป๊กผมเลย อิอิ

สูตรข้าวผัดลูกครึ่ง

ส่วนผสม
- ข้าวสวย 3 ถ้วยตวง
- แฮมหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม 3 แผ่น
- ไส้กรอกหั่น 3อัน
- พริกชี้ฟ้าเขียว เหลือง แดงหั่น 5-6 เม็ด
- กระเทียมสับละเอียด 5 กลีบ
- ใบกระเพราเด็ด 2 ขีด
- น้ำมันพืช 3-4 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 1 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย ½ช้อนชา
- ซอสพริกตรา ม้าบิน 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ใส่น้ำมันพืชสำหรับทอดลงในกระทะ รอจนร้อนจัด ใส่ใบกระเพราลงทอดจนกรอบ ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน2. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันพืชสำหรับผัดลงในกระทะ นำกระเทียมลงผัดให้เหลือง จากนั้นใส่พริกชี้ฟ้าเขียวเหลือง แดง แฮมและไส้กรอก ผัดให้เข้ากัน
3. ใส่ข้าวสวยลงไปผัด ปรุงรสด้วยซอสพริกตรา ม้าบิน น้ำปลา น้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน จัดใส่จานเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยใบกระเพราทอดกรอบ

ขอบคุณจาก http://www.thai-rr.com/th/recipieschiilisauce/81-fried-rice

สูตร ข้าวผัดอเมริกันสไตล์ประยุกต์




เครื่องปรุง

ข้าวสวย 1 ถ้วย

แฮมหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก 1/4 ถ้วย

ไข่ดาว 1 ฟอง

ไส้กรอก 2 ชิ้น

หอมหัวใหญ่ หั่นเสี้ยว 1/4 หัว

ลูกเกดดำ 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ผัดหอมหัวใหญ่กับเนย จนส่งกลิ่นหอม ใส่ข้าวสวย ซอสมะเขือเทศ ลูกเกด แฮม คนให้ข้าวกระจาย

2. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส และน้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง

3. ตักใส่จานเสิร์ฟ พร้อมด้วยน่องไก่ทอด ไข่ดาว และไส้กรอก
ขอขอบคุณ จาก

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เบคอนห่อเห็ด

ส่วนผสมทำเบคอนห่อเห็ด
เบคอนหั่นยาว 6 ชิ้น
เห็ดเข็มทอง 250 กรัม
น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำเบคอนห่อเห็ด
1. แยกเห็ดออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ความหนาเท่ากับนิ้วหัวแม่มือ
2. ม้วนเบคอนพันรอบเห็ดโดยปล่อยให้ดอกเห็ดโผล่พ้นออกมาแล้วเสียบด้วยไม้จิ้มฟัน
3. ผสมน้ำมัน น้ำเปล่า และน้ำผึ้งเข้าด้วยกัน ทาเคลือบบางๆบนเห็ดและเบคอนก่อนนำไปปิ้งด้วยไฟกลางประมาณ 5 นาที พลิกกลับไปมา จนกระทั่งเบคอนเป็นสีน้ำตาลและกรอบ เสิร์ฟร้อนๆ

มนุษย์สัมพันธ์

เหตุใดมนุษย์สัมพันธ์จึงเกี่ยวข้องกับศาสนา เพราะว่า คุณต้องล้างใจก่อน เนื่องจากตัวคุณเองมีกิเลสตัณหา และมีความอิจฉาริษยา แล้วตัวคุณเองถึงจะทำดีกับผู้อื่นได้

สุรา

สุราสี
สุราสี ได้จากการกลั่นส่าจากน้ำอ้อย น้ำตาลอ้อย หรือกากน้ำตาลอ้อย กลั่นให้น้ำสุรามีแรงแอลกอฮอล์ระหว่าง 60-95 ดีกรีแล้วปรับปรุงน้ำสุราที่กลั่นได้ด้วยน้ำบริสุทธิ์ เพื่อให้มีแรงแอลกอฮอล์ที่เหมาะสมก่อนที่จะนำเข้าเก็บบ่มในถังไม้ที่เผาภายในแล้ว โดยมีระยะเวลาในการบ่มไม่น้อยกว่า 1 ปี แล้วจึงปรุงแต่งสี, กลิ่น,รส ตามต้องการ แล้วบรรจุภาชนะออกจำหน่าย

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำคมโดน ๆ

1.คาดหวังให้สูงเข้าไว้และแน่นอนว่าต้องเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังด้วย
2.ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
3.ถ้าเชื่อว่าไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้
4.คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้
5.อุปสรรคล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ
6.ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราวต่อมาเป็นความสุขที่แท้จริง
7.เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความหมาย
8.ยิ่งบทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น
9.กุหลาบไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น
10.อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ
11.แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต
12.โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ
13.ไม่มีใครสะดุดภูเขาล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม
14.ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใครอ่อนแอตลอดกาล
15.บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรามุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป
16.อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมันคือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง
17.มีเพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิต
18.ทุกอย่างมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก
19.คนฉลาดย่อมไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง
20.ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด ต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด
21.อวดโง่ดีกว่าอวดฉลาด
22.คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริง
23.ฝันได้แต่อย่าหวัง
24.เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง
25.นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด
26.ความยึดถือคือความเจ็บปวด
27.พระเจ้าไม่ได้รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา
28.อุปสรรคคือแบบทดสอบของชีวิต
29.ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
30.สิ่งร้ายๆจะมาพร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ
31.โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง
32.ตัวเรายังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร
33.ถนนบางสายไกลหน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง
34.แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี
35.ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง
36.เดินคนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น
37.ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม
38.ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้
39.ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองวิ่งได้
40.ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ
41.ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง
42.เราจะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน
43.ปัญหามีไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้
44.จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ
45.ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาสแสดงคุณค่าไม่เท่ากัน
46.บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน
47.สิ่งที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก
48.ไม่ว่าใครจะตายหรือหายไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี
49.น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ
50.ในการที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย

ขอบคุณ ที่มา.Dek-D.com

วิธีทำดีง่าย ๆ

1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือ กับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

2.ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆ ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์

3.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึง ไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็ง และกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น

4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย

5.ปลุกปลอบให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆ ที่มาจากใจ จะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

6.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และจริงใจด้วย ดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกัน คนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้น เพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป

7.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต
ต่อท้าย #2 5 มิ.ย. 2553, 1:04:42


8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่ และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป

9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อ ในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียว จะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวน คิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควรที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไป อีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เรา และคนรอบตัวมีความสุข เพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกาย ใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้

เริ่มทำแต่วันนี้เลยนะคะ เพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง

โดย :aingaom http://variety.teenee.com/foodforbrain/26908.html

ธรรม ง่าย ๆ ลองใช้ดูนะครับ

ผมหวังว่าท่านที่ได้อ่าน
จะนำไปใช้ประโยชน์ได้นะครับ
^^...............................*
นึกว่าเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง
* ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่!
* หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง
* ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
* เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ
* ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไร ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า จะเอายังไง
* !เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟังได้
* อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
* เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
* ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา
* ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
* ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น
* เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าคนได้เยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด
* ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกแล้วจะดีขึ้น
* แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึก รัก เป็นยังไง
* ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่
* พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่มอาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่
* วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ
* รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน
* ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ
* เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียดอารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
* พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉาอย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง!
* โทรไปหาแฟนแล้วพูดแคคำเดียวว่า คิดถึง พอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่
* ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรรอยยิ้มช่วยแก้สถานการณ์ได้
* ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง
* ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ
* จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้นก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น
* นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน
* นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย
* จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็นคือยานอนหลับอย่างหนึ่ง
* อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี
* ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ
* ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้
* ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลังก็แค่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว
* รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า
* การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้ของชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้
* ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ
* หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก
* คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน
* ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว
* วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ
* ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ
* ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง
* เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ
* อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง


ขอขอบคุณ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=17298

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ ทองแดง

ประโยชน์ต่อร่างกายo มีความสำคัญต่อเมแทบอลิซึมของเหล็ก โดยที่ทองแดงในพลาสมาที่อยู่ในรูปของ เซรูโรพลาสมิน ( ceruloplasmin ) จะเปลี่ยนเหล็กจาก เหล็กเฟอรัสไปเป็นเหล็กเฟอริค แล้วเหล็กเฟอริคจะรวมตัวกับอะโพทรานส์เฟอริน( apotransferrin ) กลายเป็น ทรานส์เฟอร์ริน( transferrin ) ซึ่งทำหน้าที่ขนถ่ายเหล็กในร่างกายo เป็นส่วนหนึ่งของน้ำย่อยไทโรซีเนส ( tyrosinase ) ซึ่งจำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลง ไทโรซีน ไปเป็นเมลานิน( melanin ) ซึ่งเป็นสีคล้ำของผมและผิวคน เป็นส่วนประกอบในน้ำย่อยไซโตโครม ซี ออกซิเดส ( cytochrome c oxidase ) น้ำย่อยแคแทเลส ( catalase ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบหายใจ และการปล่อยพลังงานในเซลล์o ทองแดงเป็นสิ่งจำเป็นในการเผาผลาญโปรตีนและผลิต RNA ( RIBONUCLEIC ACID ) ซึ่งควบคุมการสร้างเซลล์ต่างๆ ให้เป็นไปอย่างปรกติและถูกต้อง และมีความสำคัญเกี่ยวกับระบบโตรงสร้างเนื้อเยื่อ รวมทั้งการผลิต ฟอสโฟไลปิด ( PHOSPHOLIPID ) เป็นสารสำคัญในการสร้างแผ่นหุ้มรอบเส้นประสาทo ช่วยในการใช้กรดอะมิโน และไทโรซีน ( โปรตีน ) ให้มีประสิทธิผล และช่วยในการเกิดสีของผม และสีของผิวหนังo ทอง แดงและวิตามินซีจะร่วมกันในการสร้าง คอลลาเจน และอีลาสติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกายที่ช่วยบำรุงรักษาผิวหนังและทำให้ผิว หนังเกิดความยืดหยุ่นo ช่วยในขบวนการสร้างเนื้อหนังขึ้นใหม่ในรายที่เป็นแผลo ช่วยในการสร้างฮีโมโกลบิน และเม็ดโลหิตแดงo เป็นตัวสำคัญในการสร้างกระดูกให้เป็นไปตามปรกติ และรักษาให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แหล่งที่พบo แหล่ง ที่ดีที่สุด คือ ตับ หอยนางรม อาหารทะเล และผลไม้เปลือกแข็ง เมล็ดพืช ถั่วที่ยังไม่ขัดสี นอกจากนี้ได้แก่ ผลไม้แห้ง มะม่วง ลูกพรุน กล้วย เห็ด มันแกว หัวบีท นม เนื้อวัว ไข่ มันฮ่อ เมล็ดงา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดถั่วลันเตา ถั่วอัลมอนด์ บริวเวอร์ยีสต์ เลซิติน โมลาส ( MOLASSES )หรือน้ำเหลืองอ้อย น้ำดื่ม ผักใบเขียว และผลไม้สด โดยเฉพาะปลูกที่ๆ ดินซึ่งมีเกลือแร่ทองแดงอุดม

thanks by http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=free4u&month=06-2010&date=08&group=80&gblog=126

วิธีรักษาสุขภาพแบบ ง่าย ๆ

๑. กินกล้วยวันละ ๒ ใบลดความเสี่ยงในการเกิดการเป็นลม เนื่องจากสมองขาดเลือดลงได้ ๒๐ %
๒. เปลี่ยนไส้แซนวิชของคุณจากแฮมเป็นปลาทูน่าลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ ๒๕ %
๓. จูบลาแฟนคุณทุกเช้าและทักเธอทันทีเมื่อถึงบ้าน :kiss:ทำชีวิตสมรสคุณให้ดีขึ้นภายใน ๑ สัปดาห์
๔. ลดการทำงานลงวันละ ๑ ชั่วโมงจะช่วยชะลอการเสียชีวิตออกไป จากการศึกษาในประเมศญี่ปุ่นพบว่าผู้ชายที่ทำงานมากกว่า ๑๑ ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสหัวใจวายมากกว่าคนปกติที่ทำงานถึง ๒.๕ เท่า
๕. เดินไปส่งเอกสารให้เพื่อนร่วมงานแทนการส่งอีเมลช่วยลดน้ำหนักลงได้ ๐.๕ กิโลกรัมต่อปี
๖. หลังจากออกกำลังกายอย่างหนักให้ทานวิตามินซีลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลง ๕๐ %
๗. กินอาหารเช้าทุกวันลดน้ำหนักได้ทันที ทั่วไปแล้วผู้ชายที่เว้นกินอาหารเช้าจะกินอาหารมากกว่านั้นในช่วงต่อมาและมักจะเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรต
๘. ดื่มน้ำเย็นวันละ ๔.๕ ลิตร ทุกวันลดน้ำหนักลงได้ ๐.๕ กิโลกรัม ทุกๆเดือน
๙. เหยียดขาของคุณออกไปเต็มที่ ค้างไว้ ๓๐ วินาทีในหนึ่งวันมากกว่า ๕ ครั้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงความสามารถในการยืดหยุ่นอีก ๓๗ %
๑๐. กินแอปเปิ้ลวันละ ๒ ลูกลด ๔.๕ กิโลกรัม ได้ภายใน ๑ ปี เส้นใยอาหารในแอปเปิ้ลช่วยในการลดน้ำหนัก

ประโยชน์ สังกะสี

ประโยชน์ของธาตุสังกะสีต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร่างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาแผ้วพานร่างกายคนเรา สัญญาณของการขาดธาตุสังกะสีขนาดปานกลางถึงรุนแรง จะเห็นได้ดังนี้ ไม่เติบโตเท่าที่ควร คือ จะเล็กแกร็น, ไม่มีความอยากอาหาร,ต่อมทางเพศไม่ค่อยทำงาน,จิตใจเหม่อลอย, แผลหายช้า, การรับรู้ผิดไปในเรื่องรส กลิ่น และสายตา, สีผิวหนังเปลี่ยนไป ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ผู้ป่วยโรคเอดส์ จะมีปริมาณสังกะสีในเลือดน้อยจึงติดเชื้อได้ง่าย ป้องกันมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยมะเร็งที่หลอดอาหาร, หลอดลม, ต่อมลูกหมาก จะมีปริมาณสังกะสีต่ำกว่าคนปกติ ป้องกันไม่ให้ตาบอดในผู้สูงอายุ การสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุที่เรียกว่า macular degeneration นั้นพบว่า เกิดจากการขาดธาตุสังกะสี ป้องกันและรักษาโรคหวัด พบว่าเมื่อเริ่มเป็นหวัดถ้ารีบรับประทานธาตุสังกะสีทันทีจะ ช่วยให้อาการหวัดรุนแรงน้อยลงและจำนวนวันที่ป่วยก็ลดลงด้วย เรารู้ว่า "ธาตุสังกะสี" ช้วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และอาจจะมีฤทธิ์ป้องกันไวรัสได้วยเช่นกัน ช่วยคงสภาพการรับรู้รส กลิ่น และสายตา คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น การรับรู้ราอาหารมักจะเปลี่ยนไป บางคนอาจไม่เจริญอาหารและบอกว่า "อาหารไม่อร่อย" นั้น อาจมาจากการรับรู้รสของอาหารเปลี่ยนไปเพราะขาดธาตุสังกะสีก็ได้ เรื่องกลิ่นและสายตาในการมองเห็นก็จะน้อยลงในผู้สูงอายุ การให้ธาตุสังกะสีจะช่วยได้ในเรื่องการรับรู้รส กลิ่น และการมองเห็น กระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น คนที่เป็นแผลต่าง ๆ หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร การให้ ธาตุสังกะสีจะทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้รับธาตุสังกะสี เพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย การผลิตสเปิร์มของผู้ชายต้องการธาตุสังกะสีมากจะเห็นได้ว่า ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่มีสังกะสีมาก การสร้างฮอร์โมนเพศชาย ก็ต้องการธาตุสังกะสีเช่นกัน ช่วยรักษาและป้องกันการเป็นหมันในผู้ชาย สังกะสีมีส่วนสำคัญในการสร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย คนสูบบุหรี่จัดจะขาดสังกะสี ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นหมันมากกว่าคนไม่สูบบุหรี่ การให้ธาตุสังกะสีวันละ 50 มก. จะทำให้ปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มมากขึ้นได้ ป้องกันต่อมลูกหมากโต คนสูงอายุมักประสบปัญหาต่อมลูกหมากโต แพทย์มักให้ สังกะสีในการรักษาซึ่งก็ได้ผลโดยที่ยังไม่ทราบกลไกชัดเจน จึงต้องมีการศึกษาต่อไปอีก รักษาสิว คนหนุ่มสาวมีปัญหาเรื่องสิว ฝ้า เวลาสิวอักเสบจะไม่น่าดู มีการให้ธาตุสังกะสีแก่คนที่ขาดธาตุสังกะสีและเป็นสิว ปรากฏว่าได้ผลดี สิวจะหายไป ป้องกันผมร่วง เป็นที่ฮือฮามาก ปรากฏว่าใช้ได้ผลเฉพาะบางรายเท่านั้น สังกะสีจะไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ของร่างกายของเส้นผม บางรายผมหลุดร่วงไปและกินสังกะสีก็จะช่วยให้เส้นผมใหม่งอกขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ในรายหัวล้านตามอายุนั้นใช้ไม่ได้ผลเพราะไม่มีรากผม เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมักเป็นแผลและติดเชื้อง่าย สังกะสีจะช่วยให้ แผลที่เป็นนั้นหายเร็วขึ้นและช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อโรคด้วย แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทาน "ใยอาหาร" หรือ "อาหารมีเส้นใย" เพื่อช่วยดูดซับน้ำตาล แต่ขณะเดียวกันก็จะดูดซับสังกะสีซึ่งมีน้อยนิดไปด้วย ทำให้ขาดธาตุสังกะสีไปได้ ลดอาการอักเสบและช่วยรักษาโรครูมาตอยด์อาไทรลิส พบว่าคนเป็นโรคนี้จะมีปริมาณสังกะสีในเลือดน้อยกว่าคนทั่วไป จากการทดลองให้ธาตุสังกะสีไปพบว่า อาการดีขึ้นมากใน เรื่องข้อต่อต่างๆ ที่บวม, ข้อแข็งหรือยึดติด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ประโยชน์ของธาตุสังกะสีจะมีมากมายแต่การบริโภคสังกะสีมากเกินไป ก็มีผลเสียเช่นกัน เช่น ถ้าบริโภคมากกว่าวันละ 100 มก. เป็นเวลานานจะทำให้ระดับไขมัน HDL ลดลง (เป็นไขมันชั้นดี) การบริโภคสังกะสีจะทำให้ปริมาณธาตุทองแดงลดน้อยลง ซึ่งมีความสำคัญต่อร่างกายเช่นกัน ซึ่งมักจะพบว่า ควรรับประทานทองแดง เข้าไปด้วยในสัดส่วน สังกะสีต่อทองแดง เท่ากับ 10 ต่อ 1 เช่น รับประทานสังกะสีวันละ 30 มก. ก็ควรได้รับทองแดงวันละ 3 มก. เป็นต้น ถ้าจะให้ดีควรบริโภควิตามินและเกลือแร่ที่มีธาตุสังกะสีอยู่ในเม็ดเดียวกัน จะได้ไม่ขาดสารใดสารหนึ่งไป


แหล่งข่าว : หนังสือพิมพ์สยา

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

10 วิธีดูแลเส้นผม

1. ดูแลเส้นผมก็อย่าทำอะไรกับผมมากเกินไปนะ (คร้าบ)
สังเกตมั้ยจ้ะว่าเวลาที่เราเข้าร้านทำผม ช่างทำผมมักจะคอยโน้มน้าวให้เราทำโปรแกรมอะไรมากมายกว่าความต้องการของเรา เช่น เราแค่ต้องการที่จะไปรับการสระ ตัด และไดร์ แต่ว่าช่างทำผมผู้แสนดีก็มักจะเสนอให้เราอบไอน้ำ ทำสี ดัด ยืด หรือทำทรีตเมนต์อะไรอีกมากมายสารพัด เราในฐานะที่เป็นลูกค้าก็แอบรำคาญเล็กน้อย ช่างทำผมบางราย อันนี้ป้าเจอมาหมาดๆ นำเสนอให้อบไอน้ำ นำเสนอไม่พอใส่วิญญาณลูกอีช่างติเข้ามาด้วย ติว่าผมป้าแห้งมาก ช่างคนนี้ไดร์ผมป้าไปก็บ่นไปว่าผมป้ามันแห้งมาก ไดร์ไปติไปตลอดเลยค่ะ ป้านี่แทบปรี้ด
เอาเป็นว่าเราไม่ควรที่จะไปทำอะไรกับผมมากเกินไป หลายๆ คนอาจเคยเข้าสปาผมมาบ้างแล้ว จะสปาเพื่ออะไรก็ตามจะเพื่อผ่อนคลายหนังศีรษะหรือเพื่อเส้นผมเงางามก็เถอะ มันก็เป็นสิ่งที่ดีนะจ้ะที่จะทำแต่ว่าก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป เพราะเส้นผมของเราเนี่ยมันก็คือส่วนที่ตายแล้วของคนเรานี่แหละ มันไม่มีความสามารถที่จะซ่อมแซมสภาพที่เสียโดยตัวของมันเอง ฉะนั้นยิ่งถ้าเราไปทำสี ดัด หรือยืดมากๆเข้าแล้ว มันก็เป็นการไปทำร้ายเส้นผมขั้นรุนแรงโดยที่ไม่สามารถจะซ่อมแซมให้มันกลับสู่สภาพดีดังเดิมได้อีก นอกจากจะโกนผมทิ้งแล้วก็รอวันเวลาที่มันจะงอกเงยขึ้นมาใหม่นั่นแหละจ้ะ
2. ดูแลเส้นผมก็อย่ามองข้ามเรื่องของน้องหวี (เลือกดีๆ ล่ะตัวเอง)
อันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการเลือกใช้หวี เลือกหวีไม่ดีมีสิทธิตายได้ อะไรทำนองนั้นเลยจ้ะ ให้ระวังการเลือกใช้หวีที่จะทำร้ายเส้นผมและหนังศีรษะ ซึ่งส่วนใหญ่หลายๆคนก็มองข้ามเรื่องนี้ไป อยากให้เราๆ ให้ความสำคัญกับน้องหวีตั้งแต่วันนี้ เพราะเราต้องใช้มันเป็นชีวิตจิตใจกันเลยทีเดียว ก่อนอื่นให้เลือกใช้หวีซี่ห่าง เพราะว่าถ้าใช้เจ้าหวีซี่ถี่ๆเล็กๆ มันจะเป็นการทำร้ายเส้นผม โดยทำให้เกล็ดผมฉีกและหนังศีรษะถลอกได้ นอกจากนี้ใครที่กระเป๋าหนักหน่อยให้เลือกใช้หวีที่เคลือบสาร Teflon ก็จะดีกว่ากันมาก (หลายๆ คนอาจนึกคิดแค่ว่าเข้า Teflon มีแต่เคลือบอยู่บนผิวกระทะเท่านั้น เคลือบบนหวีก็มีนะจ้ะ) หวีที่เคลือบสารดังกล่าวจะช่วยลดการเสียดสีของเส้นผม ลดปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ โดยเฉพาะในยามที่อากาศแห้งหรือผู้ที่มีผมแห้งมากๆ
มีความเชื่อปรำปราเรื่องหนึ่งที่กล่าวกันว่าถ้าท่านหวีผมให้ได้วันละ 100 ครั้งต่อวัน สุขภาพของเส้นผมคุณจะดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ หรืออะไรทำนองนี้ ป้าอยากจะมาออกโรงเตือนว่าใครที่เชื่อเช่นนี้ ขอให้รู้เถิดว่านั่นเป็นความเชื่อผิดๆ ของคนโบราณ เพราะว่าแทนที่จะเกิดผลดีกลับทำให้ผมยิ่งเสียมากขึ้น ผมของคุณจะหลุดร่วงมากขึ้น เกล็ดผมถูกทำลาย หนังศีรษะเป็นแผล ถลอกปอกเปิก เอาเป็นว่าหวีวันละ 5-10 ครั้งในหนึ่งวันดีที่สุด
3. ดูแลเส้นผมควรเลือกแปรงให้ดีๆ
แปรงหวีผมที่ดีควรจะมีช่องว่างระหว่างซี่ที่พอเหมาะ ไม่ห่างเกินไปไม่ถี่เกินไป และควรที่จะมีเม็ดพลาสติกกลมๆบนปลายซี่หวีแต่ละซี่ด้วย เพราะเม็ดเล็กๆเหล่านั้นจะช่วยถนอมหนังศีรษะ ไม่ให้ถูกเสียดสีแรงเกินไปเวลาหวี ปัจจุบันนี้มีแปรงหวีผมที่ซี่หวีทำจากไม้และค่อนข้างคม ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติ ใช้ได้โดยปลอดภัย แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด จริงๆแล้ววิธีที่ดีที่สุดในการเลือกซื้อแปรงหวีผมก็คือให้ทดลองหวีบนเส้นผมของเราเลย อันไหนที่ลองแล้วรู้สึกเจ็บหนังศีรษะหรือรู้สึกไม่สบายเอาซะเลย ก็แสดงว่ามันไม่ใช่แปรงหวีที่ใช่สำหรับคุณ แต่ตามร้านหลายๆร้านก็มักจะไม่ให้ทดลองหวี แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ
4. ดูแลเส้นผม ห้ามหวีผมขณะที่มันเปียก
หลังสระผมแล้วแน่นอนว่ามันจะต้องเปียกและยุ่งเหยิงไปหมด บางคนอาจทนไม่ไหวอยากจะหวีให้มันเรียบๆ จะได้ไม่ยุ่งเหยิง นี่เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอีกอย่างหนึ่ง เพราะเวลาที่เส้นผมเปียกคือช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอมากที่สุด และไม่ควรทำอะไรกับมันมากในช่วงเวลานี้ ถ้าอยากจะสะสางความยุ่งเหยิงจริงๆ ใช้แค่เพียงนิ้วมือสางๆ จากโคนผมมาปลายผมก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นเมื่อผมใกล้จะแห้งแล้วให้หวีด้วยแปรงหวีผมคู่ใจของคุณได้
5. ดูแลเส้นผม ห้ามทำให้ผมแห้งด้วยการไดร์ผมด้วยลมที่ร้อนจัด
ด้วยความเคยชินบางคนอาจจะไดร์ผมทันทีหลังจากสระผมเสร็จแล้ว แล้วไม่ใช่ไดร์ด้วยลมธรรมดานะแต่จะไดร์ด้วยลมร้อนจัดจ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเส้นผมเอามากๆเลย เพราะอุณภูมิที่สูงจัดสามารถทำลายเส้นผมและทำให้น้ำหล่อเลี้ยงของเส้นผมต้องสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสูญเสียความชุ่มชื้นของผมไปแล้ว ผลที่เกิดขึ้นก็คือผมของคุณจะเสียและเปราะหักได้ง่าย วิธีที่ดีที่สุดในการถนอมผมก็คือไดร์ผมด้วยลมอุ่นๆ หรือไม่ก็ลมธรรมดาก็จะดีที่สุด แต่ส่วนมากไม่ค่อยชอบกันชอบแต่จะเป่าด้วยลมร้อน จริงๆ ป้าเองก็ชอบเป่าลมร้อนจัดนะเนี่ย สงสัยต้องเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ซะแล้ว ผมป้าถึงได้กรอบแบบนี้ไงเนี่ย
6. ดูแลเส้นผม กรุณาอย่าเกา
อย่าเกาหนังศีรษะแบบเอามันอย่างเดียว ผู้ที่มีปัญหารังแคหรือคันหนังศีรษะมักจะชอบเกา เกาแล้วเกาอีกจนกว่าจะหายคัน แต่ว่าผู้ที่มีปัญหารังแคหรือปัญหาหนังศีรษะถ้ายิ่งไปเกาแบบเต็มเหนี่ยวแล้วล่ะก็ ปัญหาที่ตามมาก็คือผมจะร่วง ปริมาณผมบนศีรษะก็จะลดลง ปัญหาผมร่วงผมบางซึ่งน่าหนักใจยิ่งกว่าปัญหารังแคมันก็จะตามมา ถ้าเกิดว่าปัญหารังแคมันคอยรบกวนคุณมากจนทำให้รู้สึกว่าอยากจะเกาใจจะขาด นั่นแสดงว่าคุณกำลังมีปัญหารังแคขั้นรุนแรง ควรจะเข้าพบแพทย์เพื่อเยียวยารักษาอาการมากกว่าที่จะต้องทนนั่งเกาอยู่อย่างนั้น บางรายที่มีปัญหารังแคมากก็จะมีการนำสารสเตียรอยด์ (Steroid) มาผสมลงในแชมพูเพื่อลดอาการคันหนังศีรษะ อาจใช้ควบคู่กับการรับประทานยาแก้แพ้ประเภท Antihistamine ด้วย เพื่อลดอาการคันสำหรับผู้ที่มีปัญหาขั้นร้ายแรง แบบว่าหนังหัวเปิดเปิงไปหมดแล้ว เป็นต้น
7. ดูแลเส้นผมควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของคอนดิชันเนอร์ (Conditioning shampoo)
คนที่ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมและหนังศีรษะ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเส้นผมถูกทำร้าย การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของครีมนวดผมจะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้บ้าง แต่แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้แชมพูธรรมดาสระก่อนแล้วค่อยตามด้วยการลงครีมนวดผมหลังจากสระผมเสร็จแล้ว
8. ดูแลเส้นผมควรใช้ครีมนวดผมสำหรับชโลมทันทีหลังสระ
การใช้ครีมนวดสูตรที่ต้องใช้ชโลมทันทีหลังจากสระผมเสร็จแล้ว ครีมนวดบางตัวก็มีส่วนผสมของซิลิโคน ซึ่งมีข้อดีตรงที่มันจะช่วยปกป้องเส้นผมจากการถูกทำร้ายและยังช่วยซ่อมแซมสภาพผมให้ดีขึ้นมาได้บ้าง
9. ดูแลเส้นผมควรใช้ทรีตเม้นต์บำรุงผมสูตรเข้มข้นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
บำรุงผมด้วยทรีตเม้นต์ชนิดเข้มข้นเหมาะสำหรับเส้นผมที่ต้องการการบำรุงอย่างล้ำลึก โดยเฉพาะผมที่ผ่านการดัด ทำสี หรือยืด โดยปกติจะหมักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที โดยมากมีสองประเภทให้เลือกใช้คือสูตรน้ำมันและสูตรโปรตีน ซึ่งโปรตีนทรีตเม้นต์เป็นที่แนะนำให้ใช้มากกว่าแบบน้ำมัน เพราะมันเข้มข้นกว่า ซึมเข้าสู่เส้นผมได้ดีกว่า ในขณะที่สูตรน้ำมันเหมาะสำหรับผมที่ผ่านการยืดหรือทำรีบอนด์มาแล้ว
10. ดูแลเส้นผมควรตัดเส้มผมส่วนที่เสียทิ้ง
ผู้คนส่วนมากไม่ชอบที่จะตัดผมส่วนที่เสียออกไป เพราะว่าเสียดายเส้มผมอันเป็นที่รักที่สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟักมานมนาน ผู้เชี่ยวชาญกล่าววว่าให้ตัดใจเล็มผมส่วนที่เสียจะดีกว่า เพราะผมที่เสียแล้วย่อมไม่มีประโยชน์อะไร แถมยังจะทำให้จัดแต่งทรงผมได้ยากอีกด้วย


thanks by http://beauty.yopi.co.th/%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A1.html

วิธีทำผมให้ตรง มั้ง ?

อย่าเพิ่งพุ่งหลาวหยิบไดร์เป่าผมเลยล่ะ ช่างผมหลายๆคนแนะนำว่าสระผมเสร็จให้เราพักสบายๆทำโน่นทำนี่ไปก่อน รอให้ผมหมาดๆแล้วค่อยเป่าจะดีกว่า เพราะถ้าเป่าผมตอนเปียกเลย ผมจะหนักและเป่ายากขึ้น ใช้เวลานานกว่าจะแห้ง ทำให้เราทั้งเบื่อและเหนื่อยได้เวลาเป่า ให้แบ่งผมไปตามกำมือเรา จับผมให้แน่นดึงไปข้างหน้า แล้วเป่าตั้งแต่โคนผมไปปลายปม ทำอย่างนี้ ให้หมทั้งหัว รอผมแห้ง ก็เอาแปรงใหญ่ๆหวีผมให้ทั้วทั้งหัวอีกครั้งเสร็จแล้ว แบ่งผมประมาน สี่ห้าช่อเอาหวีซี่ใหญ่ๆ หวีแต่ละช่อก่อนเหน็บขึ้นเริ่มเผ่าผมทีละช่อ ดึงช่อผมให้ชี้ลงหาพื้น ถือไดร์เป่าผมห่างสัก 2-3นิ้ว เป่าผมจากโคนผม ไปที่ปลายไปทางพื้น ตอนถึงช่วงปลายผม ให้แป้งม้วนผมเข้า หรือออกก็ได้นิดนึง ปลายผมจะดูตรงแบบมีน้ำหนักเฮนน่าเป็นสมุนไพรของชาวอินเดีย เราเอามาใช้หมักผม จะช่วยเคลือปิดเกล็ดผม ให้ผมเราสีดำได้ ถ้าอยากลองทำเองดู ก็ไปซื้อเฮนน่าตามร้านขายของแขก ซื้อผงเฮนน่ามาผสมกับโยเกิร์ต ถ้าอยากผมเงาขึ้น ก็ผสมไข่ อยากให้สีแดงผสมมะนาว อยากให้สีผมดำขึ้นก็ผสมผงกาแฟ ผสมให้เข้ากัน แล้วแช่ตู้เย็นค้างคืน ตอนเช้าเอามาหมักผมทาให้ทั่ว ตอนหมักให้ใส่ถุงมือ ไม่อย่างนั้น ล้างไม่ออก แล้วเอาผ้ามาพันผม หรือใส่หมวกทิ้งไว้ 2 ชม. ล้างผมจนน้ำล้างใส ก่อนทาหมักผม ทาตามกรอบหน้าไรผมเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น สีจะซึมติดไว้ ก็จะปิดผมหงอกได้เหมือนอย่างคนอินเดีย ที่ผมดำตลอด

7 วิธีทำให้เส้นผมยาว

1.ออกกำลังกายให้เส้นผม เร่งสปีดความเร็วให้ เร่งผมยาว เร็วแบบติดเทอร์โบด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้สัก 30 วินาที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย

2.เพิ่มโปรตีน Lee Stafford ช่างทำผมคนดังของเกาะอังกฤษแนะว่า โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้

3.กินปลา Richard Ward กล่าวไว้ว่า ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย

4.เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม Phillip Kingsley เปิดเผยให้ฟังถึงศาสตร์ของการนวดศีรษะว่า การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และทำให้ระบบเมตาโบลิซึ่ม ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ

5.แปรงให้ถูก หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน

6.ตัดผมบ้าง อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าการเล็มผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น การเล็มผมนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นแล้วถือว่ายังเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็หมั่นให้ช่างเล็มผมก็จะดีไม่ใช่น้อย

7.ต่อผมก็ได้ สำหรับสาวใจร้อนที่ทนรอให้ผมยาวไม่ได้หรืออาจมีภารกิจสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องไว้ผมยาวภายใน 1 วัน ให้ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์สักนิดก่อนที่คิดจะต่อผม


ขอบคุณ http://blog.eduzones.com/entertain/12664

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำให้ผมดูดีขึ้น มั้ง ?

แชมพูไข่- ตีไข่ 2 ฟอง ในถ้วยน้ำอุ่น ชโลมส่วนผสมนี้ให้ทั่วผมซึ่งยังเปียกอยู่ หมักทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเพิ่มความแข็งแรงให้เส้นผม- ผสมไข่สดในแชมพูที่คุณใช้อยู่ทุกวันเพิ่มความดกหนาให้เส้นผม- เติมผงเจลาติน 1 ชต.ลงในแชมพูของคุณเพื่อความเงางาม- น้ำมะนาว 1/4 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำ 1/2 ถ้วยตวง**สำหรับผมสีอ่อน- น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำ 1/2 ถ้วยตวง**สำหรับผมสีเข้ม- ใช้ล้างผมครั้งสุดท้าย หลังสระครีมนวดสำหรับผมแห้ง- ผสมไข่ 1 ฟอง น้ำผึ้ง 1 ชช. และน้ำมันมะกอก 2 ชช. ชโลมให้ทั่วผมที่เปียก คลุมด้วยหมวกคลุมผมอาบน้ำหรือพันพลาสติกแร็บ หมักทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยแชมพูบำรุงเส้นผม- ถ้าคุณมีผลอโวคาโดที่สุกเต็มที่ ให้นำมาบดจนเละ แล้วชโลมให้ทั่วผมที่ยังไม่เปียกน้ำ หมักทิ้งไว้ 30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพูพื้นฟูผมเสีย- บดกล้วยงอมๆแล้วผสมด้วยน้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ 2-3 หยด นวดให้ทั่วศรีษะ ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกครีมนวดโยเกิรต์- หลังสระผมเสร็จ ให้ใช้โยเกิรต์รสธรรมชาติแทนครีมนวด ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นบำรุงด้วยน้ำมันร้อน- ผสมน้ำมันมะกอก 1 ถ้วยตวงกับเนยสด 1/4 ถ้วยตวง ใส่เข้าไมโครเวฟหนึ่นาที นำมาหมักผมทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นรักษาผมมัน- เติมวุ้นว่านหางจระเข้ 1/4 ถ้วยตวง ลงในแชมพู 1/2 ถ้วยตวง ผสมให้เข้ากัน และนำไปสระผมรักษาผมแห้ง- ผสมน้ำผึ้ง 1 ชต.กับแชมพู 2 ชต. ใช้สระผมตามปกติก็ ติดตามเพิ่มเติมได้ที่นี่นะคับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kalakonkrua&month=10-2008&date=24&group=12&gblog=50

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำขอโทษ

ขอโทษ
ในสิ่งที่ไม่ตั้งใจ ไม่เจตนา ไม่สามารถล่วงรู้มาก่อนมันคืออุบัติเหตุ ยังพอให้อภัยได้ขอโทษ ในสิ่งที่บอกว่าไม่ตั้งใจ
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าขืนยังทำต่อ ขอโทษ ในสิ่งที่แก้ไขได้ แต่กลับไม่ทำอะไรปล่อยจนยากเกินแก้ไข.....น่าให้อภัยไหมเช่นกัน..มันก็เหมือนกับคนทิ้ง และคนถูกทิ้ง
สองคำใกล้เคียงกันแต่ความหมายและการกระทำตรงข้ามกัน..โดยสิ้นเชิงเหตุผลของคนทิ้ง
มีคนใหม่... รักคนเก่า...จำเป็นต้องเลือก
ขอโทษ...คำพูด...ที่เหมือนกับยอมรับการกระทำตัวเองคำพูด...ที่ทำให้ดูเป็นคนเลวน้อยลงมาหน่อยคำพูด...ที่บ่งบอกว่ากำลังสำนึกผิดแต่มันเป็นคำพูดเดียวที่คนถูกทิ้งไม่อยากฟังมันเป็นคำพูดที่ง่าย แต่ไร้ความรับผิดชอบที่สุดขอโทษ...ไม่ช่วยให้ความเจ็บปวดในใจลดน้อยลง...เลยมีแต่บีบให้ต้องพูดคำว่า "ไม่เป็นไร"ทั้งที่ใจเจ็บเจียนตายคำขอโทษ...อาจฟังดูเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนทำผิด..รู้ว่าผิด..ขอโทษ..แก้ไข..เริ่มต้นใหม่แต่คงใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์แน่ๆโดยเฉพาะเรื่องความรักโยนคำว่า "ขอโทษ"มากองไว้ตรงหน้าคนทิ้ง กลับหนี...ไม่ยอมรับรู้อะไร นี่หรือ "ขอโทษ"ไม่เห็นจะได้รับโทษอะไรอย่างที่ขอ....
คนเรา..ก่อนทำอะไร...ก่อนจะเอ่ยคำ"ขอโทษ"คิดให้ดี ให้รอบคอบ ถ้าไม่อยากทำร้ายใครจงหยุดก่อน..ที่อะไรมันจะยากเกินเยียวยาคำ"ขอโทษ" รู้สึกผิด สำนึกผิด มันไม่ช่วยอะไรเลยมีแต่จะสร้างความเจ็บช้ำให้อีกฝ่ายที่ต้องทนรับฟังถ้าตั้งใจจะทิ้ง...ตั้งใจจะทำร้าย..ตั้งใจจะหลอกแล้วหาเหตุผลแก้ตัวไม่ได้ ...ละก็อย่า"ขอโทษ"ให้เปลืองน้ำลายสู้บอกความจริง...คนฟังยังจะรู้สึกดีซะกว่า

ขอโทษนะ

อาการ สาเหตุ วิธีแก้ท้องเสีย ที่ดีที่สุด

อาการ…อาหารป็นพิษ มักมีอาการเกิดขึ้นทันทีหลังจากทานอาหารที่มีพิษตกค้างภายใน 1-6 ชั่วโมงครับ โดยจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียถ่ายเป็นน้ำจำนวนมาก บ่อยครั้ง และอาจมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งถ้าอาการท้องเสียรุนแรงมาก อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรงจนช็อคหรือความดันเลือดต่ำซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาจมีอาการและความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันตามแต่ชนิดและปริมาณเชื้อโรคที่กินเข้าไป และขึ้นกับภูมิต้านทานความแข็งแรงของร่างกายด้วย ไวรัส - ถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสก็อาจจะมีอาการตั้งแต่รุนแรงน้อย อาเจียน ท้องเสียไม่กี่ครั้งก็ดีขึ้น หรืออาจจะมีอาการอาเจียนท้องเสียมาก จนร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้เช่นกัน เชื้ออหิวาตกโรค - เกิดจากเชื้ออหิวาตกโรคจะมีอาการไข้ ปวดท้องอย่างรุนแรง ถ่ายเหลวเป็นน้ำซาวข้าวจำนวนมากจนทำให้ช็อคเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เชื้อบิด - ทำให้ถ่ายเป็นมูกเลือดมีอาการปวดเบ่งอยากถ่ายบ่อยๆ เชื้อไทฟอยด์ - มักทำให้มีไข้ถ่ายเป็นมูกเขียว ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรสังเกตชนิดของอาหารที่กิน ระยะเวลาตั้งแต่กินจนกระทั่งมีอาการ อาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียว่ารุนแรง จำนวนครั้งและปริมาณมากน้อยแค่ไหน ลักษณะอุจจาระเป็นอย่างไร เป็นน้ำ น้ำซาวข้าว เป็นมูกเลือด หรือเป็นมูกเขียว ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้หมอวินิจฉัยและรักษาโรคได้ถูกต้องแม่นยำขึ้นครับ วิธีเบื้องต้นเมื่อลูกท้องเสีย - ควรให้กินอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม หรือโจ๊ก- ดื่มน้ำเกลือแร่ชนิดที่ใช้สำหรับรักษาอาการท้องเสียเท่านั้น ห้ามใช้น้ำเกลือแร่ที่ใช้สำหรับนักกีฬา และไม่ให้ใช้เครื่องดื่ม
น้ำอัดลมผสมเกลือ เนื่องจากน้ำอัดลมมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูงเกินไป และมีเกลือแร่ต่ำไม่เหมาะสมสำหรับคนท้องเสีย - ควรเฝ้าดูอาการลูกอย่างใกล้ชิด ถ้าหากไม่ดีขึ้น ไม่แน่ใจ หรือมีอาการที่เป็นอันตรายก็ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ครับ ป้องกันดี...ไม่หมดสนุก - ควรเลือกอาหารที่สดใหม่ ซึ่งจะมีโอกาสปนเปื้อนแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเป็นพิษน้อยลง และควรกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่ตั้งค้างทิ้งไว้นาน โดยเฉพาะหน้าร้อนแบคทีเรียจะเจริญเติบโตแบ่งตัวได้เร็ว สร้างสารพิษได้มากขึ้น - ผู้ปรุงอาหารไม่ควรมีแผลฝีหนองที่มือ ไม่มีอาการท้องเสียและเป็นพาหะของโรคติดต่อต่างๆ เช่น เชื้อบิด ไทฟอยด์ ควรล้างมือก่อนเตรียมและปรุงอาหาร ภาชนะที่ใช้ เช่น กระทะ หม้อ จาน ชาม ช้อน ก็ต้องสะอาด - ร้านอาหาร ควรเลือกร้านอาหารที่ถูกสุขลักษณะ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษลงได้ครับ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอาหารตามสั่ง อาหารฝรั่ง หรืออาหารทะเล หากปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ ก็สามารถทำให้ท้องเสียได้เมื่อคิดในทางกลับกัน หากอาหารอีสานที่ปรุงอย่างสะอาด ถูกสุขลักษณะ ท้องก็ไม่เสียครับ คำแนะนำเหล่านี้คงพอจะช่วยให้การเดินทางท่องเที่ยวหน้าร้อนนี้ สนุกสนาน ปลอดภัย สมดังที่ตั้งใจของทุกๆครอบครัวนะครับ เหตุฉุกเฉิน....อาการอันตราย 1. มีอาการขาดน้ำหรือเกลือแร่ ได้แก่ ปากแห้ง ตาโหลลึก ผิวหนังเหี่ยวย่น ซึมลงหรือกระวนกระวาย ตัวเย็นมือเท้าเย็น ปัสสาวะน้อยลงสีเหลืองเข้ม ชีพจรเต้นเบา และเร็วมากกว่าหรือเท่ากับ 100 ครั้ง/ต่อนาที2. มีอาการอาเจียนรุนแรงและบ่อยมากจนไม่สามารถดื่มน้ำเกลือแร่หรือกินอาหารได้3. อาการอาเจียน และท้องเสียเป็นนานมากกว่า 3-5 วัน 4. ถ่ายเหลวเป็นน้ำซาวข้าว หรือถ่ายเป็นมูกเลือด กะปริบกะปรอย มีอาการปวดเบ่ง หรือถ่ายเป็นมูกเขียว กลิ่นเหม็น มีไข้สูงซึมหรือชัก หรืออาการที่คุณพ่อคุณแม่คิดว่าลูกผิดปกติไปจากเดิม คาร์บอนช่วยได้มั้ย จากความเชื่อที่ว่าคาร์บอนจะช่วยดูดซับเชื้อโรคเมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษนั้น ยังไม่มีรายงานแน่นอนว่าสามารถซับเชื้อโรคและทำให้อาการอาหารเป็นพิษหายไปได้ ยิ่งถ้ากินเพื่อป้องกันท้องเสียด้วยแล้ว ยิ่งไม่แนะนำครับ
จาก:


http://www.momypedia.com/knowledge/preschool/detail.aspx?no=11313&title=%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%20:%20%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%81

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้เซ็ง

1. ลองหาหนังสือที่ชอบอ่าน .. ควรจะอ่านหนังสือ “ขำขัน” ไม่ควรอ่านหนังสือนิยาย ประเภทรักไม่สมหวัง ชอกช้ำ พระเอกตาย นางเอกโดนจับไปขายตัว เพราะมันจะทำให้คุณหดหูยิ่งขึ้น
2. ไปเช่าหนังมาดู .. หนังตลกก็ดีน๊ะ อย่าดูหนังเศร้าล่ะ .. ถ้าจะดูหนังผีก็ดู หนังผี ฮา ๆ .. อย่าดูอะไรที่มันสยองน๊ะ .. เพราะมันอาจจะทำให้คุณอยากเป็นผีได้ ..
3. ไปเดินห้าง .. เดินดูของ เดินดูเสื้อผ้า .. เดินเหล่สาว .. เดินมองหนุ่ม ๆ แล้วแต่ชอบเลยจ้า .... จะช้อปให้แหลก ก็ตามสบาย ( ระวังเป๋าแฟบล่ะ )
4. ไปออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็น โยนโบลลิ่ง ว่ายน้ำ ฟิตเนส เต้นแอโรบิค วิ่ง ปิงปอง เปตอง ฟุตบอล แบทบินตัน บาสเกตบอล วอลเลย์บอล ขว้างจักร พุ่งแหลม ( แล้วแต่ถนัดเลย )ฯลฯ
5. ไปหาอะไร อร่อยๆ ทาน เลือกร้านที่บรรยากาศดีๆ ไม่น่าเบื่อ มีอะไรแปลกใหม่ท้าทาย .. น่าตื่นเต้น
6. ชวนเพื่อนๆ คนสนิท ไปนั่งเมาท์กาน .. เมาท์แก้เซ็ง ( อย่าเมาท์เรื่องการเมืองล่ะ 55+ )
7. ไปเที่ยวทะเล สวนสนุก เที่ยวป่า เที่ยวเขา เที่ยวน้ำตก เที่ยสวนสัตว์ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ .. ฯลฯ ถ้ามีตังค์หน่อยก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด ถ้าตังค์หนาเป็นฟ่อนก็ไปเที่ยวต่างประเทศเลย ..
8. ไปบ้านเพื่อน .. ( ไปบ้านที่ของกินเยอะๆ บรรยากาศดีๆ แล้วก็ไปถล่มเลย ) อิ อิ
9. ถ้าเบื่อๆ แล้วไม่รู้จะทำอะไรก็ ... แกล้งเพื่อนสิ แกล้งอาไรที่มันไม่รุนแรงนะ แกล้งอาไรที่น่ารักๆ น่ะ ถ้าแกล้งแล้วเพื่อนโกรธอันนี้ไม่รู้ด้วยล่ะ
10. ชวนเพื่อนๆ หรือใครก็ได้ ไปดูคอนเสิร์ตที่ชอบ .. ไปเต้นให้มันส์เลย ..
11. ดูตลกคาเฟ่ .. ดูระเบิดเถอดเทิง ดูโทรทัศน์ ดู UBC
12. กินน้ำชา + โรตี ชวนเพื่อนๆ ไปปาร์ตี้กัน ( ไม่มีแอลกอฮอล์น๊ะจ๊ะ )
13. เล่นอินเตอร์เนต แชท กับ เพื่อนๆ หรือใครก็ได้ ไประบายความเซ็งซะ ..
14. หาเวปไซต์ ดีๆ อ่าน ( คงไม่มีใครทะลึ่งไปเปิดเวปโป๊น๊ะ )
15. เล่นเกมส์ .. ไม่ว่าจะเกมส์กด เกมเพล เกมคอม เกม... ฯลฯ
16. ชวนที่บ้านขับรถเล่น .. กินลม ชมเมือง
17. ไป สปา .. ( ถ้ามีตังค์หน่อยน๊ะ )
18. ทำกับข้าว .. ใครชอบทำกับข้าว ทำอาหาร ทำขนม ก็ลงมือเลยน๊ะจ๊ะ
19. เขียนไดอารี่ .. เขียนโน่นขีดนี่ วาดภาพ ฟังเพลง ร้องเพลง เล่นดนตรี .. สร้างบ้าน ( บ้านเลโก้น๊ะจ๊ะ )
20. ทำสวน .. ( ช่วยคุณพ่อคุณแม่ นะเด็กดี )
21. ทำงานบ้านกวาดบ้านถูบ้าน .. จัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ( เด็กดีภาค 2 )
22. คุยโทรศัพท์กับคนที่คุณคิดว่าจะทำให้คุณหายเบื่อได้ .............................
23. ฝึกนั่งสมาธิ สงบจิตสงบใจ .. คิดว่าเรื่องบนโลกใบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา
24. นอนหลับ .. นอนซะ นอน .. นอน ... เผื่อตื่นมาแล้วจะหายเบื่อน๊ะจ๊ะ
โปรดใช้วิจารณญาณ ในการอ่าน และใช้สติคิดเอาเองว่า .. วิธีไหน เหมาะกับเวลา และ สถานที่ใด ..



ขอขอบคุณจดหมาย frwdmail